กรุงเทพฯ 3 ส.ค.-หน่วยงานต่าง ๆ
เร่งดึงเกษตรกรร่วมโครงการประกันภัยข้าวนาปี 2560 ระบุจะช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้ที่แน่นอนในการประกอบอาชีพทางการเกษตร
นายภูมิศักดิ์ ราศรี
ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร หรือ สศก.
กล่าวว่า อยากจะเชิญชวนให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการประกันภัยข้าวนาปี 2560
พื้นที่เป้าหมายการเอาประกันภัยขั้นต่ำจำนวน 25 ล้านไร่ทั่วประเทศ วงเงิน 1,841.10 ล้านบาท โดยมีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
หรือ ธ.ก.ส. เป็นผู้บริหารโครงการ มีอัตราเบี้ยประกันภัย 90 บาทต่อไร่
โดยรัฐบาลจะอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย 54
บาทต่อไร่ทำให้เกษตรกรจะต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันเพียง 36 บาทต่อไร่
และหากเป็นลูกค้าสินเชื่อของ ธ.ก.ส.ทาง ธ.ก.ส.จะช่วยอุดหนุนเบี้ยประกันภัย 36
บาทต่อไร่ให้เกษตรกรเอง ทำให้เกษตรกรไม่ต้องจ่ายอะไรเลย
ซึ่งจะเริ่มจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยทุกภาคถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2560
และภาคใต้ถึงวันที่ 15 ธันวาคมนี้ รายละเอียดติดต่อสอบถามได้ที่
ธ.ก.ส.ทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย
การเข้าร่วมโครงการนี้จะทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่แน่นอนในการประกอบอาชีพทางการเกษตร
ไม่ต้องพะวงเกี่ยวกับภัยธรรมชาติที่มักจะเกิดเป็นประจำในบางพื้นที่
ทั้งนี้จะมีการส่งเสริมให้มีการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรทั่วประเทศและครอบคลุมพืชเศรษฐกิจทุกชนิด
ทั้งนี้ การประกันภัยดังกล่าว ครอบคลุมภัยธรรมชาติทั้ง
7 ประเภท ได้แก่ 1.น้ำท่วมหรือฝนตกหนัก 2.ภัยแล้ง
ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง 3.ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น 4.ภัยอากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง
5.ลูกเห็บ 6.ไฟไหม้ และ7.ภัยศัตรูพืช
หรือโรคระบาด แบ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2560
ที่เป็นลูกค้าของ ธ.ก.ส. จำนวนขั้นต่ำ 25 ล้านไร่
และสำหรับเกษตรกรทั่วไปอีกไม่เกิน 800,000 ไร่ ขณะนี้มีบริษัทสมาชิกของสมาคมประกันวินาศภัยไทยที่มีความพร้อมในการเข้าร่วมรับประกันภัยในโครงการดังกล่าวแล้วทั้งหมด
24 บริษัท
ซึ่งสมาคมฯ ได้ส่งรายชื่อบริษัทประกันภัยดังกล่าวให้กับสำนักงาน คปภ.
รับรองฐานะทางการเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ศูนย์ติดตามและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตร ติดตามและวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเกษตรจากโครงการประกันภัยข้าวนาปี
ปีการผลิต 2560 มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการบริหารจัดการผลกระทบที่มีต่อโครงการและ/หรือผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย
คือ 1. ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน
ผลักดันให้การประกันภัยพืชผลเป็นมาตรการหลักอย่างยั่งยืน
เกษตรกรได้รับความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องว่า
การประกันภัยเป็นมาตรการกระจายความเสี่ยงระหว่างสมาชิกและเพื่อให้การกระจายความเสี่ยงเกิดผลสำเร็จเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกทุกคน
รวมทั้งควรส่งเสริมให้มีการประกันภัยพืชผลทั่วประเทศและครอบคลุมพืชเศรษฐกิจทุกชนิด
2. ควรสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรซื้อประกันภัยมากขึ้น
โดยเฉพาะเกษตรกรในพื้นที่ที่เกิดภัยซ้ำซาก อย่างไรก็ตาม ควรมีการพิจารณาขยายประเภทและพื้นที่ของสินค้าเกษตรให้มากขึ้น
เช่น มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และพืชอื่น ๆ เพื่อเพิ่มทางเลือกสำหรับเกษตรให้สามารถประกันภัยความเสี่ยงจากธรรมชาติอย่างทั่วถึง
3.สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้มีการพัฒนาฐานข้อมูลด้านการประกันภัย
ทั้งจากฐานข้อมูลเชื่อมโยงการขึ้นทะเบียนเกษตรกร และการจ่ายเงินช่วยเหลือ
การจัดทำต้นแบบแผนที่เสี่ยงภัย (Risk Map) สำหรับพืช
ปศุสัตว์และประมง
ทุกภูมิภาคในประเทศไทยโดยอาศัยหลักความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน (public and private partnership) ให้บรรลุเป้าหมาย
4.
การพัฒนาเทคนิคการประกันภัย
โดยนำเทคนิคการประเมินความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อแปลงเพาะปลูกที่เหมาะสมที่สุด
เช่น การทดลองนำเทคนิคดัชนีเขตพื้นที่ (Area-Yield Index Insurance) และ
การพัฒนาฐานข้อมูลที่จำเป็นในการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้ขยายความคุ้มครองครอบคลุม
และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาของเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 5. ส่งเสริมให้มีการจัดทำโซนนิ่งและส่งเสริมการเพาะปลูกพืชชนิดเดียวกันในเขตเดียวกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของภาคเกษตร
และสะดวกแก่การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรด้วยมาตรการต่างๆ
รวมถึงการอุดหนุนเบี้ยประกันบางส่วนให้สามารถดำเนินการได้ในขณะเริ่มต้น
พร้อมทั้งรัฐต้องลดการชดเชยค่าเสียหายจากภัยธรรมชาติลง เพื่อลดภาระทางด้านงบประมาณ
และ 6. ควรมีการประชาสัมพันธ์ให้กว้างขวางและให้ลงรายละเอียดในเนื้อหามากขึ้น
เพื่อให้เกษตรกรเกิดการรับรู้ ตระหนักถึงความสำคัญ
และเกิดความสนใจในการทำประกันภัย-สำนักข่าวไทย