นนทบุรี 22 มิ.ย.-กระทรวงพาณิชย์เผยยอดจดทะเบียนนิติบุคคลตั้งใหม่ทั่วประเทศในเดือนพฤษภาคม 66 และยอดรวม 5 เดือนแรกปีนี้ เติบโตตามกระแสเศรษฐกิจไทยในช่วงขาขึ้นตามแรงหนุนด้านการท่องเที่ยว ขณะที่ยอดจดเลิกกิจการเพิ่มขึ้นแต่เล็กน้อย คาดการณ์ช่วงเศรษฐกิจดีส่งผลให้ยอดจดทะเบียนทั้งปีอยู่ที่ 75,000 – 78,000 ราย
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวถึงยอดจดทะเบียนนิติบุคคลทั่วประเทศประจําเดือนพฤษภาคม 2566 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน 7,437 ราย เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาคิดเป็น 25.69% (พฤษภาคม 2565) และเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาคิดเป็น 23.11% (เมษายน 2566) โดยประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จํานวน 558 ราย คิดเป็น 7.50% รองลงมา คือ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จํานวน 480 ราย คิดเป็น 6.46% และอันดับ 3 คือ ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จํานวน 369 ราย คิดเป็น 4.96% ตามลําดับ
ขณะที่ จดทะเบียนเลิกธุรกิจในเดือนพฤษภาคม 2566 มีจำนวน 1,234 ราย เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา คิดเป็น 11.98% และเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา (เมษายน 2566) คิดเป็น 31.84% โดยประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จํานวน 136 ราย คิดเป็น 11.02% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จํานวน 63 ราย คิดเป็น 5.11% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จํานวน 34 ราย คิดเป็น 2.75% ตามลําดับ
ส่งผลให้ ภาพรวมการจัดตั้งธุรกิจในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 มีจำนวนการจัดตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้นถือเป็นการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่สูงสุดในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2557 – 2566 และในยอดของเดือนพฤษภาคม 66 สูงสุดในรอบ 10 ปี เป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน (ม.ค. – พ.ค. 66) และกรมฯ ได้วิเคราะห์ยอดการจดทะเบียนธุรกิจในเดือนพฤษภาคม 2566 พบว่า ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวยังคงมาแรง รองลงมาธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจตัวแทนการเดินทาง ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร และธุรกิจ โรงแรม รีสอร์ท และห้องชุดเป็นผลมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าคาดการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 42,000 – 45,000 ราย และตลอดทั้งปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 75,000 – 78,000 รายเป็นต้น .-สำนักข่าวไทย