กรุงเทพฯ 12 เม.ย. -คริปโตมายด์ กรุ๊ป ชี้ นำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาทำ Digital Wallet เติมเงินให้ประชาชน ไม่เหมาะ มีหลายข้อจำกัด
บริษัท คริปโตมายด์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จํากัด กลุ่มบริษัทให้คำปรึกษาด้านบล็อกเชนและการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล วิเคราะห์นโยบาย “พรรคเพื่อไทย”ความเป็นไปได้ของ Digital Wallet สำหรับเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่นำเสนอเติมเงินดิจิทัลให้กับ ประชาชนคนไทยทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปใช้จ่ายใกล้บ้านในรัศมี 4 กิโลเมตรผ่าน Digital Wallet โดยมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับหมู่บ้าน ระดับชุมชน ในตลาดท้องถิ่น สร้าง ธุรกรรมระหว่างรายย่อย หนึ่งในรายละเอียดของนโยบายที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องการนำ “เทคโนโลยีบล็อกเชน” มาสร้าง Digital Wallet
นายอภินัทธ์ เดชดอนบม นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด ระบุว่า นโยบายนี้ว่าการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาทำ Digital Wallet นั้นอาจไม่เหมาะสมด้วยเหตุ ผลเรื่องข้อจำกัดด้านการออกแบบบางอย่าง เช่น ข้อจำกัดในเรื่องของการออกแบบเนื่องด้วยสิ่งที่เรียกว่า Blockchain Trilemma หรือหลักพื้นฐานบล็อกเชน 3 ประการที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้พร้อมกัน ประกอบด้วย ความปลอดภัย (Security), การขยายตัวเพื่อรองรับการใช้งานในอนาคต (Scalability) และการกระจายอำนาจ (Decentralization) ซึ่งตัวเลือกแรกก็เป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก Security การที่จะทำระบบบล็อกเชนให้สามารถรองรับธุรกรรมมหาศาลจากประชากรหลาย สิบล้านคนก็จำเป็นต้องเลือก Scalability มาเป็นอันดับสอง นั่นหมายความว่าต้องยอมสูญเสีย Decentralization ไป
ส่วนระบบการชำระเงินของรัฐบาลก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปิดเป็นบล็อกเชนสาธารณะ (Public Blockchain) ที่เปิดรายละเอียดของโครงสร้างระบบให้คนทั่วไปเห็น ทำให้ตัว เลือกเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก Private Blockchain แต่การจะทำให้ประชาชนทุกคนใช้งานได้ โดยไม่ติดขัด Digital Wallet นี้ก็ต้องเป็นแบบ Custodial Wallet ที่ทำให้ Decentralization ลดลงไปอีก
ซึ่งทำให้ระบบโดยรวมนั้นอาจไม่ได้แตกต่างจากการใช้ระบบฐานข้อมูลแบบเดิมที่อาจมีประสิทธิภาพมากกว่าด้วยซ้ำ นอกจากนี้ในปัจจุบันยังไม่มี Case Study ของบล็อกเชนที่สามารถรองรับ ธุรกรรมได้มากระดับหลายสิบล้านธุรกรรมต่อวันได้อย่างเป็นรูปธรรม
“เราจึงมองว่าตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุดในการทำ Digital Wallet นี้ก็คือ แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ที่มีอยู่ก่อนแล้ว และคาดว่า “เป๋าตัง” ก็สามารถกำหนดเงื่อนไข ดังกล่าวได้ไม่ยาก มีประวัติการรองรับธุรกรรมจากการใช้งานจริงจากโครงการก่อนหน้านี้ ประชาชนมี ความคุ้นเคยกับแอปพลิเคชันเป๋าตังอยู่แล้ว อีกทั้งการใช้แอปพลิเคชันเป๋าตังที่มีอยู่เดิมก็จะสามารถ ประหยัดงบประมาณการพัฒนาระบบใหม่และดูแลรักษาได้อีกด้วย
ส่วนความเกี่ยวข้องของ Digital Wallet กับ Central Bank Digital Currency (CBDC) มองว่าไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน เนื่องจากทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)มีแนวทางพัฒนาของตัวเอง โดยในตอนนี้ Retail CBDC ก็กำลังอยู่ในช่วง Pilot Test ระหว่างช่วงปลายปี 2565 ไปจนถึงกลางปี 2566 ร่วมกับ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด
หาก Pilot Test แล้วมีปัญหาหรือมีจุดต้องแก้ไขก็ต้องนำกลับไปพัฒนาใหม่และ Pilot Test อีกครั้งไปเรื่อย ๆ จนเสร็จสมบูรณ์ซึ่งอาจกินเวลาหลายเดือนหรือหลายปีเพราะ CBDC จะเป็น โครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ไม่สามารถรีบเร่งได้ ทำให้ Timeline อาจไม่ตรงกับการบังคับใช้ นโยบายดังกล่าวหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งของการออกแบบ CBDC คือเรื่อง ความเป็นส่วนตัวและ อำนาจในความเป็นเจ้าของเงินของประชาชน ซึ่งนโยบายดังกล่าวมีการจำกัดระยะทางที่สามารถ ใช้ได้ มีระยะเวลาการใช้งานที่หากครบกำหนดแล้วไม่ได้ใช้ก็จะหายไป อีกทั้งมีการกล่าวถึงการสอดส่อง ธุรกรรมและพฤติกรรมการใช้งานด้วย
โดยหากการกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวมาทำบน CBDC อาจทำให้ประชาชนมองเห็นว่าการเก็บ เงินในรูปแบบ CBDC ไม่ปลอดภัยซึ่งจะขัดกับหลักการของทางแบงก์ชาติที่ใช้ในการพัฒนา CBDC มาโดยตลอดและอาจทำให้สิ่งที่แบงก์ชาติทำมาตลอดหลายปีสูญเปล่า นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมทางเราถึงมองว่า Digital Wallet และเงินดิทัลดังกล่าวไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับ CBDC -สำนักข่าวไทย