กระทรวงคลัง 27 เม.ย.-คลัง ธปท. เตือนประชาอย่าหลงเชื่อ ลงทุน “Onecoin” โปรยยาหอม ให้ผลตอบแทนร้อยละ 10-60 หากเสียหายจะไม่ได้รับการคุ้มครอง เตรียมงัดมาตราการออกมารองรับ
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ดแบงก์ชาติ เมื่อวานนี้ แลดงความเป็นห่วงปัญหาการหลอกลวงประชาชนให้ผลตอบแทนสูง ในหน่วยข้อมูลอิเล็คทรอนิกส์ หรือ Onecoin โดยอ้างว่า เป็นสกุลเงินดิจิตัล และเริ่มมีผู้เข้าไปลงทุนจำนวนมากในภาคอีสาน
ธปท. จึงขอชี้แจงว่า One coin ไม่ใช่สกุลเงินที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายไทย และไม่มีประเทศใดรับรอง ส่งผลให้ การถือครองหน่วยข้อมูลอิเล็คทรอนิกส์ ซึ่งทางการไม่ได้ให้การรับรอง จะไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย
นายสุรศักดิ์ พิชิตผจงกิจ. ผู้อำนวยการ สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สศค. กล่าวว่า คลัง ได้ประสานข้อมูลกับดีเอสไอ ขณะนี้ กำลังร่วมมือกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ ติดตามตรวจสอบเว็บไซค์ชักชวนลงทุน หน่วยข้อมูล Onecoin ซึ่งมีลักษณะเข้าข่ายอาจเป็นแชร์ลูกโซ่ รูปแบบใหม่ ให้ผลตอบแทนสูงร้อยละ 10 หากเป็นหัวหน้าเครือข่ายได้ผลตอบแทนร้อย 60 ซึ่งความเป็นจริงแทบจะไม่มีการลงทุนใดได้ผลตอบแทนสูงขนาดนั้น
“ยอมรับว่ากฏหมายไทยเอาผิดกลุ่มดังกล่าวไม่ได้ รวมทั้ง การลงทุนใน Forex ซึ่งไม้ได้รับการรับรองจากแบงก์ชาติ และหากได้รับความเสียหายจากการลงทุนจะไม่ได้รับการคุ้มครอง เนื่องจาก เซิร์ฟเวอร์บันทึกข้อมูลซื้อขายอยู่ต่างประเทศ” นายสุรศักดิ์กล่าว
ขอย้ำเตือนประชาชน ทำความเข้าใจการลงทุนอย่างถ่องแท้ และเพิ่มความระมัดระวังการลงทุนหน่วยข้อมูลดังกล่าว เนื่องจาก มีความเสี่ยงสูงจากความผันผวนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้ง มิจฉาชีพ อาจใช้เป็นช่องทางหลอกลวงและฉ้อโกงประชาชนเข้าลงทุน ที่มีลักษณะอ้างว่าให้ผบตอบแทนสูง หากหาสมาชิกเพิ่มมากๆ
ทั้งนี้ หากประชาชน พบการชักชวนลงทุนที่น่าสงสัยว่าเข้าข่ายหลอกลวงลงทุน สามารถโทรศัพท์เข้ามาสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1213 โดย ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2559-25 เมษายน 2560 ได้รับเรื่องให้ตรวจสอบการชักชวนลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงผิดปกติ และ เป็นแชร์ลูกโซ่ จำนวน 27 คดี ซึ่งส่วนใหญ่พบในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นายสุรศักดิ์ยอมรับว่า แม้สศค.จะได้รับร้องเรียนปัญหาเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง แต่ข้อจำกัดด้านจำนวนเจ้าหน้าที่ และการไม่ให้ความร่วมมือของผู้ร้องเรียน ที่ร้องเรียน แต่ไม่ยอมให้การกับตำรวจ ส่งผลให้ กลายเป็นเพียงคดีฉ้อโกง แต่ไม่ถึงคดีฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญนำไปสู่การดำเนินคดีตามโทษแชร์ลูกโซ่ ที่รุนแรงและเด็ดขาดมากกว่า จึง เอาผิดแค่ตัวแทนเครือข่าย แต่ ไม่สามารถสาวถึงตัวผู้บงการ ส่งผลให้ปัญหาหลอกลงทุนต่อเนื่อง และรุนแรงขึ้น.-สำนักข่าวไทย
