สวทช.ยื่นจดทรัพย์สินทางปัญญาอันดับ 1 ของประเทศ

กรุงเทพฯ 5 ต.ค.-รัฐบาลชูผลงาน สวทช.ปีงบฯ 64 ยื่นขอจดทรัพย์สินทางปัญญา 524 รายการ เป็นอันดับ 1 ของประเทศ-สร้างมูลค่าต่อเศรษฐกิจสังคมของประเทศ จากการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์กว่า 7 หมื่นล้านบาท 


นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยผลงานประจำปี 2564 ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย สวทช. ได้ดำเนินงานวิจัย พัฒนา ออกแบบและวิศวกรรม และพัฒนาขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีที่ตอบสนองต่อโจทย์ประเทศ โดยมุ่งเน้นเพิ่มการลงทุนในวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมจากภาครัฐและภาคเอกชน บูรณาการเป็นโจทย์ขนาดใหญ่ร่วมกับเครือข่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศแบบจตุภาคี โดยเน้นฐานเศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียนเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ส่งเสริมDeep-tech Company และ Inclusive Innovation ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร รวมทั้งดึงดูด Talents เพื่อพัฒนาฐานองค์ความรู้ใหม่ ผ่านเครือข่ายความร่วมมือทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สวทช. เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียนเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) ร่วมกับหน่วยงานภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมโดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการและอนุกรรมการเพื่อผลักดันและขับเคลื่อน BCG Model ซึ่งได้จัดทำแผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564 – 2570 และผ่านการเห็นชอบจากครม. เมื่อ 19 มกราคม 2564 ให้การขับเคลื่อน BCG Model เป็นวาระแห่งชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป ซึ่งผลการดำเนินงาน ของ สวทช. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สวทช. มีบทความตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ 724 เรื่อง ยื่นขอจดทรัพย์สินทางปัญญา 524 รายการ เป็นอันดับ 1 ของประเทศ มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เชิงพาณิชย์357 รายการ ให้แก่บริษัทและหน่วยงานต่าง ๆ รวม 333 แห่ง 


นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างผลงานสำคัญเชิงประจักษ์ ได้แก่ การนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญมาช่วยแก้ไขปัญหาและต่อสู้ต่อการระบาดของโรคโควิด 19 ประกอบด้วย

1) การป้องกัน เฝ้าระวัง และการควบคุมโรคโควิด 19 เช่น ระบบบริการทางการแพทย์ทางไกล (A-MED Telehealth) เพื่อบุคลากรทางการแพทย์สามารถดูแลรักษาผู้ป่วย Home Isolation แบบทางไกล แอปพลิเคชันเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC-Care) บริหารจัดการสุขภาพของพนักงานในบริษัท/โรงงานในช่วงสถานการณ์โควิด 19 และวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 แบบพ่นจมูก เพื่อเตรียมความพร้อมให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตนเองในด้านวัคซีนต่อไปได้ในอนาคต

2) การตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด 19 เช่น ชุดตรวจคัดกรองการติดเชื้อไวรัสโควิด 19 (NanovCOVID-19 Antigen Rapid Test)


3) การลดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด 19 เช่น รถส่งของบังคับทางไกล “อารี” เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์สู้ภัยโควิด 19 เพื่อใช้ขนส่งสัมภาระ ยา อาหาร ให้แก่ผู้ป่วยโควิด 19 เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของบุคลากรทางการแพทย์ เปลปกป้อง PETE เปลความดันลบห่อหุ้มร่างกายผู้ป่วยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากผู้ป่วยโควิด 19 นวัตกรรมซิงก์ไอออนสู่ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อสู้วิกฤตไวรัส ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่ไม่ระคายเคืองผิวหนัง และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

4) การรักษาโรคโควิด 19 เช่น การสังเคราะห์สารตั้งต้นยาฟาวิพิราเวียร์ทดแทนการนำเข้าวัตถุดิบยาต้านโรคโควิด19 จากต่างประเทศ โดยพัฒนากระบวนการผลิตสารตั้งตันออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรมในการผลิตยารักษาโรคโควิด 19 ช่วยผลักดันอุตสาหกรรมยาให้สามารถผลิตยาครบวงจรได้ด้วยตนเอง ทดแทนการนำเข้าวัตถุดิบยาต้านโรคโควิด19 จากต่างประเทศ

ทั้งนี้ สวทช. ยังได้นำผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ในภาคเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจ BCG และ AI ในด้านต่าง ๆ ได้แก่

1) ด้านเกษตรและอาหาร (Agriculture and Food) เช่น ปุ๋ยคีเลตเสริมธาตุอาหารพืชทางใบ ช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พริกขี้หนูผลใหญ่เกสรตัวผู้เป็นหมัน ขึ้นทะเบียนพันธุ์พืชใหม่ 22 สายพันธุ์ ทำให้เกษตรกรได้ใช้เมล็ดพันธุ์พริกลูกผสมที่มีคุณภาพถ่ายทอดให้บริษัทเอกชนเพื่อนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เป็นต้น

2) ด้านการแพทย์และสาธารณสุข (Health and Wellness) เช่น เครื่องตรวจวัดสุขภาพเบื้องต้นอัตโนมัติ (8-Life Check) ติดตามความคืบหน้าสุขภาพประชาชนที่เป็นระบบข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) BodiiRay R (บอดีเรย์อาร์) ระบบเอกซเรย์ดิจิทัลที่ปรับเปลี่ยนการใช้งานให้เข้ากับการใช้งานในโรงพยาบาลได้ แสดงผลภาพเอกซเรย์ได้ทันทีและปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับน้อยกว่าเครื่องเอกซเรย์แบบเดิม นวัตกรรมแผ่นกรองอากาศต้านรา-แบคทีเรีย อนุภาคนาโนที่เคลือบบนแผ่นกรองอากาศในรถยนต์สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์และเชื้อราได้ แผ่นแปะเข็มขนาดไมโครเมตรเพื่อการนำส่งสารผ่านชั้นผิวหนัง เข็มนำส่งสารออกฤทธิ์เข้าสู่ร่างกายที่ผ่านการรับรองมาตรฐานเครื่องมือแพทย์ ISO 13485 แห่งเดียวในประเทศไทย 

3) ด้านพลังงาน วัสดุ และเคมีชีวภาพ (Energy, Materials and Biochemicals) เช่น ชุดแบตเตอรี่และเครื่องชาร์จแบตเตอรี่สำหรับการใช้งานด้านความมั่นคง แพ็กแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและเครื่องชาร์จ มีประสิทธิภาพความจุสูงกว่าเดิม 3 เท่า ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องชาร์จ ลดต้นทุนการนำเข้าจากต่างประเทศ ผ้าเคลือบกราฟีนอัจฉริยะ ผ้าที่มีเทคโนโลยีการเคลือบนาโนคาร์บอน ถ่ายเทความร้อนและควบคุมอุณหภูมิ ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียนำมาผลิตเครื่องแบบทางทหารให้แก่กองทัพ เป็นต้น

4) ด้านดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ (Digital and Electronics) เช่น ระบบตรวจหาและวิเคราะห์ข้อมูลอุปกรณ์ชำรุดแบบยืดหยุ่นได้บนคลาวค์คอมพิวติง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยนำไปใช้ตรวจและวิเคราะห์ข้อมูลอุปกรณ์ชำรุดเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์สูงกว่าวิธีเดิมและใช้ทรัพยากรคำนวณอย่างคุ้มค่ามากขึ้น ระบบตรวจวัดการสั่นสะเทือนของรถไฟอัจฉริยะแบบฝังตัวบนรถไฟฟ้า บริษัทรถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด นำไปใช้กับรถไฟที่ให้บริการเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางและการขนส่ง เครื่องกรองอากาศแบบไฟฟ้าสถิต ช่วยบรรเทาปัญหามลพิษทางอากาศPM2.5 ดักจับฝุ่นละออง และสร้างอากาศบริสุทธิ์รองรับพื้นที่ที่มีปริมาตรขนาดใหญ่แบบที่เครื่องกรองหรือฟอกอากาศทั่วไปไม่สามารถทำได้ เป็นต้น

นอกจากนี้ สวทช. มีผลงานการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ในด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการวิจัยของประเทศ (National S&T Infrastructure : NSTI) เพื่อสร้างขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่ประเทศ โดยให้บริการด้านเทคนิค วิชาการ ที่มีมาตรฐานด้วยเครื่องมือทันสมัย และด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพของประเทศ (National Quality Infrastructure : NQI) ยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้ได้มาตรฐานสากล อาทิศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. ให้บริการวิเคราะห์ทดสอบ สนับสนุนการทำวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงอุตสาหกรรมชีวภาพ เป็นศูนย์กลางการพัฒนาและส่งเสริมบริการวิเคราะห์ทดสอบด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวิเคราะห์ทดสอบชีวเภสัชภัณฑ์ สารสกัดจากสมุนไพรกัญชา กัญชง ด้วยเครื่องมือขั้นสูงและขยายขอบข่ายการทดสอบสมบัติทางกายภาพและสมบัติเกี่ยวกับเส้นใยกัญชงและคอมโพสิต เพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมและกลุ่มวิสาหกิจชุมชน 

รวมทั้งการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน พัฒนากลไกสนับสนุนเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนลงทุนด้านวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมเพิ่มขึ้น อาทิ สร้างธุรกิจสตาร์ทอัพจากผลงานวิจัยและพัฒนาโดยบุคลากร สวทช. นำไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีการจดทะเบียนจัดตั้งสำเร็จ 3 บริษัท ได้แก่ บริษัทเบรนนิฟิตจำกัด (BrainiFit) บริษัทบิ๊กโก อนาไลติกส์ จำกัด (BICGO) และบริษัท แคนนาบี ไบโอเทค จำกัด ขณะที่ผลงานด้านการพัฒนาและสร้างเสริมบุคลากรวิจัย มีการสร้างบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีศักยภาพให้กับประเทศ ผ่านการสนับสนุนทุนการศึกษาในระดับต่าง ๆ 870 คน รวมทั้งสนับสนุนนักศึกษาและบุคลากรวิจัยทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วมงานในห้องปฏิบัติการของศูนย์แห่งชาติ 600 คน 

“การดำเนินงานของ สวทช.กับพันธมิตร ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้สร้างมูลค่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศที่เกิดจากการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ทั้งสิ้น 73,692 ล้านบาท รวมทั้งผลักดันให้เกิดการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของภาคการผลิตและบริการทั้งสิ้น 25,224 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลโดย อว. สวทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนการพัฒนาขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ ตลอดจนการวิจัยและพัฒนา ให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเตรียมคนไทยแห่งศตวรรษที่21 ให้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งเพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในทุกมิติ” นายอนุชาฯ กล่าว .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

EOD เร่งกู้ระเบิดตกค้าง-พิสูจน์กลิ่นศพทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 4 ส.ค. – ตลอดทั้งวัน ชุด EOD ตรวจสอบพื้นที่ตามแนวปะทะ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ พบวัตถุระเบิดและลูกกระสุนปืนใหญ่ตกค้างรวมกว่า 140 ลูก ใน 34 จุด ขณะที่กลิ่นศพทหารกัมพูชา ยังไม่ส่งผลกระทบฝั่งไทย แต่ชาวบ้านในพื้นที่ยืนยันมีกลิ่นจริง ตลอดทั้งวัน ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ EOD ของตำรวจตระเวนชายแดนที่ 21 และตำรวจภูธรพนมดงรัก รวมถึง ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ หรือ TMAC เข้าตรวจสอบพื้นที่ตามแนวปะทะใน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ หลังสถานการณ์ปะทะสงบลง โดยพบวัตถุระเบิดและลูกกระสุนปืนใหญ่ตกค้างรวมกว่า 140 ลูก ใน 34 จุด หัวหน้าชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดให้ข้อมูลว่า ระเบิดส่วนใหญ่ทำงานไปแล้ว เหลือเพียง 7 จุดที่ยังคงอยู่ระหว่างการเก็บกู้ แต่มีบางจุดที่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าปฏิบัติงานได้ เนื่องจากอยู่ติดแนวชายแดน และอาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับทหารทั้ง 2 ฝ่ายที่ยังคงตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ อีกทั้งสภาพพื้นที่เป็นโคลนตม ทำให้บางจุดลูกระเบิดฝังลึกมาก ทำให้การเก็บกู้ยากลำบาก จึงทำได้เพียงล้อมรั้วแสดงสัญลักษณ์ให้ทราบ เพื่อความปลอดภัยและไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้ […]

มทภ.2 หวัง GBC ได้ข้อสรุปที่ดี ลั่นไม่ถอยกำลังทหาร

กองทัพบก 4 ส.ค. – แม่ทัพภาค 2 ลั่น ไม่ถอยกำลังทหาร หวังถก GBC ได้ข้อสรุปที่ดี แต่ยังคาดหวังอะไรไม่ได้หากสองประเทศยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกันก็จบง่าย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปชายแดนไทย-กัมพูชา (GBC) ที่ประเทศมาเลเซีย ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่ก็คาดหวังว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี หาข้อตกลงร่วมกันให้ดีที่สุด ส่วนที่หลายฝ่ายมีความกังวลสถานการณ์ชายแดน หลังวันที่ 7 สิงหาคม จะมีความตึงเครียดนั้น พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของผู้นำทั้งสองประเทศ จะเจอกันตรงจุดไหน หากยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกัน ก็จบง่าย ซึ่งตอนนี้ยังคาดเดาอะไรไม่ได้ ว่าผลจะออกมาอย่างไร เมื่อถามว่า ประเด็นเรื่องการถอนกำลัง พล.ท.บุญสิน ยืนยันว่า “กองทัพไม่ถอย เพราะเรารุกในเขตพื้นที่อธิปไตยของเรา” สำหรับการดูแลชายแดนไทย-กัมพูชา กองทัพทั้งสองประเทศได้ปฏิบัติตามข้อตกลงการหยุดยิง ที่สองรัฐบาลได้พูดคุยกันไว้เพื่อความสงบสุขบริเวณชายแดน ซึ่งเราพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ยอมรับว่า มีปัญหาเรื่องโดรนไม่ทราบฝ่าย ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ได้บูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้น รวมถึงการติดตามกลุ่มบุคคลที่ทำตัวเป็นสายลับ และไส้ศึก […]

สำนักโฆษก กห. พาย้อนเหตุการณ์ยุคเขมรแดงปี 1979-1980

4 ส.ค.- เตือนความจำเขมร! สำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม โพสต์ย้อนเหตุการณ์ไทยช่วยเขมร ยุคเขมรแดง ปี 1979-1980 เปิดประตูรับคนเขมรเป็นที่พึ่งสุดท้าย-เปิดค่ายพักพิงแบบไม่ลังเล วันนี้(4 ส.ค.2568) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจสำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม ได้เผยแพร่ข้อมูลการช่วยเหลือของฝ่ายไทยที่มีต่อชาวกัมพูชาในยุคเขมรแดง โดยข้อความระบุว่า จากคนที่หนีตายสู่คนที่หันปากกระบอกปืนกลับมา” เมื่อ ‘เขมร’ ลืมทุกอย่างที่ไทยเคยมอบให้ ปี 𝟏𝟗𝟕𝟗… ชาวกัมพูชานับแสน นับล้าน วิ่งหนีตายจากนรกบนดินที่ชื่อว่า “เขมรแดง” ข้ามพรมแดนมายังไทย ในสภาพหมดเรี่ยวแรง หิวโหย และเกือบสิ้นลมหายใจ คนไทยเปิดประตูให้เขาพักพิง ตอนนั้นประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียง “เพื่อนบ้าน” แต่กลายเป็น “ที่พึ่งสุดท้าย” เราส่งอาหาร เราเปิดค่ายพักพิง เราช่วยเหลือทั้งในนามรัฐบาล องค์กรพัฒนาเอกชน และแม้แต่ชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ยอมแบ่งข้าวเพียงคำเดียวให้ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา การอพยพที่ไม่มีแผนที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 𝟏𝟗𝟕𝟗 จนถึงต้นยุค 𝟏𝟗𝟖𝟎𝐬 มีชาวกัมพูชาจำนวนมหาศาล บางแหล่งบอกว่ารวมกันถึง 𝟔 แสนถึง 𝟖 แสนคน อพยพอย่างไร้ทิศทางบางคนเดินเท้าเป็นร้อยกิโลเมตรจากกลางประเทศกัมพูชา หลายคนไร้เอกสาร ไม่มีอาหาร ไม่มีเป้าหมาย […]

กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศ

ก.ต่างประเทศ 4 ส.ค.-กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา คาดแจงข้อมูลที่บิดเบือน หลังกัมพูชาปล่อยเฟคนิวส์ต่อเนื่อง ด้าน “มาริษ” ย้ำไทยไม่ได้เริ่มก่อน ยึดแก้ปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี เรียกร้องกัมพูชายึดหลักสันติวิธี-จริงใจ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมกับ นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และ นางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ณ ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ โดยคาดว่าจะเป็นการชี้แจงข้อเท็จจริงภายหลังจากที่ฝ่ายกัมพูชามีการให้ข้อมูลที่บิดเบือนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ก่อนการบรรยาย นายมาริษ กล่าวเปิดโดยขอบคุณผู้ที่เข้าร่วมรับฟังการบรรยายในวันนี้ พร้อมชี้แจงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และท่าทีของไทยต่อกรณีดังกล่าว โดยตนตั้งใจจะแบ่งการบรรยายเป็น 2 ประเด็นหลัก คือ 1. การเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งไทยขอประท้วงต่อฝ่ายกัมพูชากรณีที่ละเมิดกฎหมายมนุษยชนและใช้ความรุนแรง โดยมีเป้าหมายแบบไม่เลือกเป้าและโจมตีไปที่พลเรือน รวมถึงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งขัดต่อหลักการของอนุสัญญาออตโตวา ในขณะที่ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด จึงหวังเป็นอย่างยิ่งให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างจริงใจด้วยเช่นกัน ภายใต้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ส่วนประเด็นที่ 2 คือการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ระหว่างวันที่ 4-7 สิงหาคม […]