กรมชลประทาน 21 เม.ย. –อธิบดีกรมชลประทานระบุเกษตรกรทุ่งบางระกำ
ให้ความร่วมมือปรับเวลาเพาะปลูกข้าวนาปีเร็วขึ้น ปลูกไปแล้วกว่า 180,000 ไร่ คาดจะเพาะปลูกเต็มพื้นที่เป้าหมาย
ภายในวันที่ 10 พฤษภาคมนี้ กรมชลประทานมั่นใจพร้อมเก็บเกี่ยวทันก่อนฤดูน้ำหลากนี้
นายสัญชัย เกตุวรชัย อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า
ตามที่กรมชลประทาน ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ
กองทัพภาคที่ 3
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มต่ำบางระกำในการส่งน้ำให้เกษตรกรทำนาปีให้เร็วขึ้น
โดยได้จัดสรรน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ไปยังพื้นที่ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา
โดยข้อมูล ณ วันที่ 17 เมษายน 2560 มีเกษตรกรทำการเพาะปลูกข้าวไปแล้วประมาณ
180,000 ไร่
หรือประมาณร้อยละ 68 ของพื้นที่เป้าหมายทั้งหมด 265,000 ไร่ ในทั้ง 3 โครงการ
(โครงการยมน่าน 205,000 ไร่ , โครงการพลายชุมพล 20,000 ไร่ , โครงการเขื่อนนเรศวร
40,000 ไร่) โดยมีการส่งน้ำเข้าระบบชลประทานไปแล้วประมาณ 70
ล้านลูกบาศก์เมตร หรือประมาณร้อยละ 80
ของความจุคลองทั้งหมด
ซึ่งเกษตรกรในพื้นที่ทุ่งบางระกำได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
อธิบดีกรมชลประทานคาดว่า เกษตรกรทุ่งบางระกำจะเพาะปลูกข้าวครบ
100 % ของพื้นที่ได้ในวันที่
10 พฤษภาคมนี้
และจะไม่กระทบต่อการเก็บเกี่ยวข้าวนาปีในพื้นที่ทุ่งบางระกำ
ที่พร้อมเก็บเกี่ยวได้ทั้งหมดก่อนช่วงฤดูน้ำหลากนี้ ซึ่งแผนการปรับเปลี่ยนปฏิทินการทำนาปีของเกษตรกรในปีนี้
เป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และตามความต้องการของเกษตรกรในพื้นที่ เนื่องจากพื้นที่บางระกำ (ครอบคลุมพื้นที่
อ.บางระกำ อ.พรหมพิราม อ.เมือง จ.พิษณุโลก และ อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย)
เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกน้ำท่วมในช่วงฤดูน้ำหลาก
ช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม-ตุลาคม เพื่อให้เกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวได้ก่อนที่จะถึงฤดูน้ำหลาก
กรมชลประทานจึงได้ปรับเปลี่ยนปฏิทินในการทำนาปีของเกษตรกรในพื้นที่ทุ่งบางระกำ
โดยทำการจัดสรรน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ให้เกษตรกรในพื้นที่บางระกำได้ทำนาก่อนพื้นที่อื่นๆ
โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 31กรกฎาคม 2560
ใช้น้ำทั้งหมดประมาณ 228 ล้านลูกบาศก์เมตร
โดยแผนการปรับเปลี่ยนปฏิทินการทำนาปีของเกษตรกรนอกจากจะลดความเสี่ยงที่ผลผลิตข้าวจะได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมแล้ว
ยังจะทำให้เกษตรกรมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
และยังช่วยให้ภาครัฐสามารถประหยัดงบประมาณจากการจ่ายเงินชดเชยค่าความเสียหายจากน้ำท่วมได้อีกด้วย
ที่สำคัญหลังจากที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จแล้ว
ยังสามารถใช้พื้นที่ลุ่มต่ำดังกล่าวเป็นแก้มลิงธรรมชาติ รองรับน้ำในฤดูน้ำหลาก
นอกจากนี้ ยังจะช่วยส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เสริมจากการทำอาชีพประมง
ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มต่ำบางระกำอยู่แล้ว
และปริมาณน้ำที่เก็บกักไว้ในพื้นที่ลุ่มต่ำ
ยังสามารถนำมาบริหารจัดการเป็นน้ำต้นทุนในการทำนาปรัง และการอุปโภคบริโภคในช่วงฤดูแล้งได้อีกด้วย-สำนักข่าวไทย
