กรุงเทพฯ 28 พ.ค. – “นฤมล” ชูจุดแข็งภาคเกษตรกรรมไทย เดินหน้านโยบายเชิงรุกพัฒนา “ระบบอาหารคาร์บอนต่ำ” บนเวที First Movers Coalition ที่จัดโดย World Economic Forum ระบุไทยมีความพร้อมร่วมมือระดับโลก สร้างระบบอาหารแห่งอนาคตที่ยั่งยืนและเป็นธรรม
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมระดับภูมิภาค “First Movers Coalition: Regional Meeting on Aggregated Global Market Demand for Low-Emission Agricultural Commodities” ว่า ประเทศไทยในฐานะประเทศเกษตรกรรม มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน “ระบบอาหารอัจฉริยะด้านภูมิอากาศ (climate-smart food system)” ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ โดยเน้นสร้างมาตรฐานร่วม ระบบติดตามย้อนกลับ กลไกการเงินที่เหมาะสม และความร่วมมือทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
สำหรับเวที First Movers Coalition for Food (FMC for Food) เป็นความริเริ่มโดย World Economic Forum เมื่อเดือนธันวาคม 2566 เพื่อเร่งเปลี่ยนผ่านระบบผลิตสินค้าเกษตรให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าหลัก 6 ชนิด ได้แก่ ข้าว พืชไร่ เนื้อวัว นม ถั่วเหลือง และน้ำมันปาล์ม ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 70% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอาหาร ปัจจุบันมีพันธมิตรมากกว่า 50 รายทั่วโลก ครอบคลุม 4 กลุ่มสินค้า ได้แก่ เนื้อวัว นม ข้าว และพืชไร่ เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง และข้าวสาลี
รมว.เกษตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยมีต้นแบบสำคัญจากโครงการ Thai Rice NAMA ที่ช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกร ประหยัดน้ำ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยเทคนิคปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง (AWD) ซึ่งเข้าถึงเกษตรกรกว่า 25,000 รายในภาคกลาง และกำลังเดินหน้าสู่ระยะใหม่ด้วยโครงการ “Thai Rice: Strengthening Climate-Smart Rice Farming Project” มูลค่า 118 ล้านยูโร โดยได้รับการสนับสนุนจาก Green Climate Fund และพันธมิตรภาคเอกชนระดับโลก เช่น Mars, PepsiCo, Olam Agri และ Ebro Foods เพื่อขยายการเข้าถึงเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะให้เกษตรกรกว่า 250,000 ราย
“ประเทศไทยยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนนโยบายเชิงรุก นวัตกรรมทางเทคโนโลยี และความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เกษตรกร และภาคธุรกิจ เพื่อพัฒนาระบบเกษตรกรรมที่ยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยให้เติบโตในเศรษฐกิจสีเขียว ขอให้การประชุมในวันนี้เป็นสัญลักษณ์ของเจตจำนงร่วมกันในการเปลี่ยนแปลงระบบอาหารเพื่อคนรุ่นต่อไป” รมว.เกษตรฯ กล่าว. -512-สำนักข่าวไทย