กรุงเทพฯ 4 ก.ค.- อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาเผย หลายพื้นที่ทางตอนบนของประเทศยังมีปริมาณฝนน้อยกว่าค่าปกติ โดยเฉพาะภาคกลางตั้งแต่ต้นปีฝนน้อยกว่าค่าปกติ 50% หลัง 17 ก.ค.สถานการณ์ฝนจะเริ่มกระจายดีขึ้นบ้าง แต่ภาวะเอลนีโญกำลังจะพัฒนาเป็นกำลังแรงในเดือนพ.ย. นี้และอาจต่อเนื่องถึงกลางปี 67 แจ้งเตือนหน่วยงานด้านน้ำเฝ้าระวัง
นางสาวชมภารี ชมภูรัตน์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยากล่าวว่า ขณะนี้เข้าสู่ฤดูฝนมาได้กว่า 1 เดือน แต่ยังมีหลายพื้นที่ที่ปริมาณฝนต่ำกว่าค่าปกติได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้านตะวันตก ภาคกลาง รวมกทม.และปริมณฑล และภาคใต้ตอนบน
ผลตรวจวัดปริมาณฝนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมถึง 2 กรกฎาคม 2566 พบว่า ปริมาณฝนทั่วประเทศต่ำกว่าค่าปกติ 25% แต่หากพิจารณาตามรายภาคพบว่า กทม. และปริมณฑลต่ำกว่าค่าปกติ 57% ขณะที่ภาคกลางน่าเป็นห่วง ปริมาณฝนต่ำกว่าค่าปกติถึง 50% รองลงมาคือ ภาคเหนือซึ่งต่ำกว่าค่าปกติ 36% ภาคตะวันออกต่ำกว่าค่าปกติ 30% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือต่ำกว่าค่าปกติ 19% ภาคใต้ฝั่งตะวันตกต่ำกว่าค่าปกติ 17% และภาคใต้ฝั่งตะวันออกต่ำกว่าค่าปกติ 8%
ในระยะนี้เกิดสภาวะฝนทิ้งช่วง อาจมีฝนตกบ้างบางพื้นที่ แต่ไม่สม่ำเสมอ โดยช่วงวันที่ 4 -17 กรกฎาคม ฝนยังมีน้อย มีเกิดขึ้นบ้างด้านรับมรสุม รวมถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและด้านตะวันออกซึ่งใกล้หย่อมความกดอากาศต่ำ คาดว่า หลังวันที่ 17 กรกฎาคม สถานการณ์ฝนจะเริ่มกระจายดีขึ้นบ้าง โดยหวังให้มีพายุหมุนเขตร้อนก่อตัวเคลื่อนตัวเข้าใกล้ประเทศไทยซึ่งพอจะฝนเข้ามาบ้าง แต่ปริมาณต้องติดตามกันต่อเนื่อง อาจจะได้น้ำบ้างด้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและด้านตะวันออก ส่วนภาคอื่นต้องประเมินกันเป็นระยะๆ
ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สภาวะเอลนีโญกำลังอ่อน โดยคาดว่า จะพัฒนาเป็นเอลนีโญกำลังแรง ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 ถึงมกราคม 2567 (ค่าดัชนี Niño-3.4 ≥ 1.5°C) และจะต่อเนื่องไปจนถึงเดือนมีนาคม 2567 จากนั้นมีแนวโน้มอ่อนกำลังลง แต่คาดว่า ในช่วงกลางปี 2567 ยังคงมีสถานการณ์เอลนีโญอยู่
ดังนั้นจึงได้แจ้งไปยังหน่วยงานด้านน้ำเพื่อให้เฝ้าระวังและเตรียมรับสถานการณ์เพราะปริมาณฝนที่ต่ำกว่าค่าปกติอาจส่งผลต่อปริมาณน้ำต้นทุนที่จะเก็บกักไว้ใช้ในฤดูแล้ง ขณะเดียวกันแจ้งเตือนเกษตรกรโดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทานให้วางแผนการเพาะปลูก รวมถึงให้เก็บกักน้ำไว้ หากมีฝนตกลงมา เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อพืชผลทางการเกษตร
ขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา และสามารถติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th หรือที่ 0-2399-4012-13 และ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง.-สำนักข่าวไทย