ทำเนียบรัฐบาล 11 พ.ค.-นายกฯ สั่งตรวจเชิงรุก จำกัดวงแพร่ระบาดในชุมชน ยันวัคซีนที่นำเข้ามีคุณภาพ ทุกรพ.ต้องดูแลปชช.ฟรี กำหนดฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ เพิ่มเงิน-เวลา “เราชนะ-เรารักกัน” ขอทุกฝ่ายร่วมมือ ไม่ขัดเเย้ง ย้ำไม่ใช่เวลาทำการเมือง
พล.อ..อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เกี่ยวกับความก้าวหน้าผลดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ว่า ติดตามการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะในพื้นที่คลองเตยอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นพื้นที่ใจกลางเมืองและกระทบกับชีวิตคนจำนวนมาก ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริการสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 (ผอ.ศูนย์ ศบค.)ในกรุงเทพและปริมณฑล ได้สั่งการเน้นย้าให้ทุกหน่วยงานป้องกันการลุกลามอย่างเต็มที่ ด้วยการระดมตรวจเชิงรุกให้มากที่สุดในพื้นที่เป้าหมาย
“ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ได้ตรวจไปแล้วมากกว่า 70,000 ราย ในชุมชนที่มีความเสี่ยงเฉลี่ย 7,000 รายต่อวัน จำกัดวงการแพร่ระบาดให้แคบและสั้นที่สุด ซึ่งจากการตรวจหาเชื้อเชิงรุกจะทำให้เห็นยอดผู้ติดเชื้อต่อวันเพิ่มขึ้น แต่ทางทีมแพทย์เชื่อมั่นว่า วิธีนี้จะทาให้ควบคุมสถานการณ์ได้ในไม่ช้า ซึ่งล่าสุดยอดผู้ติดเชื้อในกรุงเทพเริ่มทรงตัว ถือเป็นแนวโน้มที่ดี” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะเร่งระดมฉีดวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนให้มากที่สุด โดยในพื้นที่คลองเตยฉีดไปแล้วมากกว่า 13,000 คน หรือเกือบร้อยละ 30 ของเป้าหมายที่จะฉีดให้ได้อย่างน้อย 5 หมื่นคน และพื้นที่ปทุมวันที่อยู่ใกล้เคียงได้ฉีดไปแล้วมากกว่าร้อยละ 50 ของเป้าหมาย 14,000 คน โดยเฉลี่ยแล้วทั้งสองเขตฉีดได้มากกว่าวันละ 2,000 คน
ส่วนกรณีการรักษาตัวของผู้ป่วยโควิด นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลจะดูแลค่ารักษาพยาบาลให้ประชาชนทุกคนตามสิทธิ ตั้งแต่การตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยง การรับวัคซีน มีการชดเชยกรณีได้รับผลข้างเคียงการฉีดวัคซีน และการรักษาพยาบาล กรณีโรงพยาบาลเอกชน รัฐจะอุดหนุนค่าใช้จ่ายเพิ่มร้อยละ 25 ทุกรายการ หากมีประกันส่วนบุคคลให้โรงพยาบาลเรียกเก็บประกันส่วนบุคคลก่อน ที่เหลือให้เรียกเก็บกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ห้ามโรงพยาบาลเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากประชาชน หากฝ่าฝืนจะมีโทษตามกฎหมาย หากบาดเจ็บ เจ็บป่วยต่อเนื่อง เสียอวัยวะ พิการ ทุพพลภาพถาวร หรือเสียชีวิต สามารถยื่นขอรับเงินเยียวยาได้จากสปสช.
“ขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคน ปฎิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 และอยากให้ทุกคนรวมทั้งสื่อมวลชน ระมัดระวังการส่งต่อข้อมูลการแชร์ข่าวสารที่ไม่รู้ที่มา โดยไม่ตรวจสอบความถูกต้องก่อน เพราะจะสร้างความวุ่นวายสับสนให้แก่สังคม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เจตนาหรือไม่เจตนา สร้างและเผยแพร่ข้อมูลเท็จ หรือ Fake News อยากขอให้หยุดการกระทำเหล่านี้ เพราะจะเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อน ซึ่งผมได้สั่งการและย้ำให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบและจะดำเนินการทตามกฎหมายทันที” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจัยสาคัญที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าได้ คือวัคซีน ซึ่งที่ผ่านมาได้เร่งระดมฉีดวัคซีนไปแล้วเกือบ 2 ล้านโดส และในเดือนพฤษภาคมนี้ไทยจะได้วัคซีนเพิ่มอีก 3.5 ล้านโดส ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพในการฉีดได้อีกมาก การประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ ตนได้เสนอให้การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติที่จะต้องดำเนินการอย่างครบวงจร ทั้งการจัดหา การกระจายไปจนถึงการฉีดด้วย เพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศ จึงขอเชิญชวนให้ทุกคน เข้ารับการฉีดวัคซีน ให้มากที่สุด
“ยืนยันว่าวัคซีนที่รัฐบาลนำเข้าทุกชนิดมีประสิทธิภาพ ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข และใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก มีคนฉีดไปแล้วหลายสิบล้านคน รวมทั้งผู้นำประเทศทั่วโลก ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกยืนยันว่าวัคซีนโควิดทุกชนิดป้องกันการป่วยรุนแรงหากติดเชื้อ และป้องกันการเสียชีวิตได้เกือบ 100% ส่วนโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียง มีน้อยมาก ๆ หากเปรียบเทียบกับโอกาสการติดโควิด และเสียชีวิตจากโควิดที่มีสูงกว่าหลายพันเท่า” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การฉีดวัคซีนแต่ละครั้ง จะมีแพทย์ประเมินความเหมาะสมและคอยเฝ้าดูอาการหลังฉีดด้วย ซึ่งตนรวมทั้งคณะรัฐมนตรี ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างฉีดวัคซีนโควิดไปแล้วและไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ซึ่งจากการเปิดลงทะเบียนยืนยันและนัดหมายการฉีดวัคซีน ผ่านระบบ “หมอพร้อม” และช่องทางต่าง ๆ มีผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 1.6 ล้านคน นับว่ามีความตื่นตัวในพื้นที่อย่างดีเยี่ยม
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับมาตรการทางเศรษฐกิจ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้พิจารณาหลายประเด็นสำคัญ เช่น โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากวงเงิน 45,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น ซึ่งจะเร่งดำเนินการทันทีเมื่อสถานการณ์ของโควิดบรรเทาลง
“ครม.มีมติเห็นชอบเพิ่มเงินสนับสนุนในโครงการ “เราชนะ” อีกคนละ 1,000 บาทเป็นเวลาสองสัปดาห์ มีประชาชนได้รับประโยชน์ 33.5 ล้านคน รวมทั้งเพิ่มเงินช่วยเหลือผู้ประกันตนโครงการ ม.33 “เรารักกัน” อีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท 2 สัปดาห์เช่นกัน โดยขยายเวลาฃองโครงการออกไปถึงเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งจะสามารถช่วยเหลือประชาชนได้มากกว่า 8 ล้านคน” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การออกมาตรการใด ๆ ตนรับฟังความเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะบุคลกรทางการแพทย์ เพราะคงไม่รู้ดีเท่าหมอ และไม่ได้หมายความจะเอาอำนาจมาใช้ทั้งหมดคนเดียว รัฐให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวให้มีความพร้อม ให้สอดคล้องกับมาตรการต่าง ๆ ของต่างประเทศ หากพื้นที่ใดพร้อมสามารถเปิดได้ก่อน
“ที่สำคัญขณะนี้ไม่ใช่เวลาของการขัดแย้งหรือแตกแยกกัน ประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปได้ อยู่ที่ความร่วมมือของทุกคน วันนี้ไม่ใช่เวลาของการทำการเมือง แต่เป็นช่วงเวลาของการทำเพื่อบ้านเมือง ทำงานให้ประชาชนที่เลือกเราเข้ามา” นายกรัฐมนตรีกล่าว.-สำนักข่าวไทย