ร้อยเอ็ด 24 ก.ย.- รวบหนุ่มมีประวัติยาเสพติด ก่อเหตุสยองฟันพระลูกวัดมรณภาพคากุฏิ และพระอีกรูปบาดเจ็บ
เมื่อคืนที่ผ่านมา ตำรวจ สภ.เมืองสรวง จ.ร้อยเอ็ด ได้รับแจ้งว่ามีคนร้ายเข้าไปก่อเหตุฟันพระมรณภาพและได้รับบาดเจ็บ ที่วัดกกกุงวราราม จึงไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบว่าที่กุฏิท้ายวัดหลังที่ 3 มีร่างของพระนฐกร ดีทองหลาง อายุ 34 ปี พระลูกวัด มรณภาพอยู่บนพื้นห้อง ตามร่างกายพบว่ามีบาดแผลฉกรรจ์ถูกฟันที่บริเวณหน้าผาก ท้ายทอยและเหนือใบหูซ้าย นอกจากนั้นยังมีพระอีก 1 รูปถูกฟันได้รับบาดเจ็บชาวบ้านนำส่งโรงพยาบาลเมืองสรวงแล้ว ทราบชื่อว่าพระประวัติ กุลนา อายุ 36 ปี พระลูกวัด ส่วนคนก่อเหตุคือนายอัจฉริยะ ธุรพันธุ์ หรือนายอบเอ้บ อายุ 37 ปี
จากการสอบสวนพระครูสังฆรักษ์เดชจันทูปโม เจ้าอาวาสวัดกกกุงวราราม ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุได้ยินเสียงคล้ายคนทะเลาะกันพร้อมกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากพระประวัติ จึงเปิดประตูออกมาดู ก็เห็นนายอบเอ้บวิ่งออกมามีแล้วก็ได้ยินเสียงสตาร์ทรถจักรยานยนต์ขับออกจากวัดไป เมื่อเดินไปก็เห็นพระประวัตินั่งอยู่บนแคร่ไม้หน้ากุฏิมีเลือดท่วมตัว เมื่อเดินไปดูกุฏิหลังที่ 3 ก็พบร่างของพระนฐกรนอนเสียชีวิต
หลังก่อเหตุประมาณ 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ติดตามจับกุมนายอัจฉริยะ หรืออบเอ้บ ได้ที่บ้านพัก ห่างจากวัดที่ก่อเหตุประมาณ 1 กม. โดยนายอัจฉริยะอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งถือมีดทั้งสองมือไม่ยอมให้ตำรวจเข้าใกล้ เจ้าหน้าที่ตำรวจเกลี้ยกล่อมควบคุมตัวไว้ได้ พร้อมของกลางมีดอีโต้ยาว 17 นิ้ว และมีดบังตอยาว 12 นิ้วเปื้อนเลือดทั้งสองเล่ม ก่อนนำนายอัจฉริยะไปควบคุมตัวไว้ดำเนินคดี โดยนายอัจฉริยะยังไม่ยอมให้การใดๆ
เบื้องต้นทราบว่าก่อนเกิดเหตุนายอัจฉริยะคงจะเข้าไปขอเงินกับพระนฐกรที่เสียชีวิต พระนฐกรอาจจะไม่ให้จึงทำให้นายอัจฉริยะไม่พอใจใช้มีดฟันจนตายดังกล่าว
จากนั้นเดินไปเคาะห้องของพระประวัติพอเปิดประตูออกก็ฟันที่ศีรษะ พระประวัติฮึดสู้คว้าพัดลมและตั่งไม้เป็นอาวุธต่อสู้ แต่ก็ถูกฟันที่ไหล่ขวา ก่อนที่นายอัจฉริยะจะล่าถอยวิ่งหลบหนีไป ส่วนสาเหตุที่แท้จริงจะต้องรอสอบปากคำพระประวัติและนายอัจฉริยะหลังหายคลุ้มคลั่งแล้วอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับนายอัจฉริยะ หรืออบเอ้บ มีประวัติติดยาเสพติดเคยถูกจับกุมหลายครั้ง ก่อนหน้านี้ก็จะวนเวียนเข้ามาขอเงินพระภายในวัดอยู่บ่อยๆ เคยชกเข้าที่บริเวณหน้าผากของพระครูสังฆรักษ์เดชจันทูปโม เจ้าอาวาสจนเหนือคิ้วแตกทั้งสองข้าง และยังคงมีร่องรอยแผลเป็นอยู่จนทุกวันนี้.-สำนักข่าวไทย