กรุงเทพฯ 9 ก.พ. – ปตท.มั่นใจผลประกอบการปีนี้ไม่ดิ่งเหมือนปี 58 แม้ราคาน้ำมันดิบล่าสุดจะดิ่งลงใกล้เคียงกันที่ต่ำกว่า 30 ดอลลาร์/บาร์เรล พร้อมเสนอปรับลดสตอกน้ำมันทางกฏหมาย โดยลดสตอกน้ำมันดิบลงครึ่งหนึ่ง ลั่น ไม่มีการกักตุนแอลกอฮอล์ตามสื่อโซเชียลที่โจมตี
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.(ปตท.) กล่าวว่า ได้เสนอแนวคิดในเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของ Covid-19 ทั้งเรื่องการลดผลกระทบภาคประชาชนในเรื่องการลดราคาก๊าซหุงต้ม ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การลดสำรองน้ำมันดิบทางกฏหมายของโรงกลั่นน้ำมันลงครึ่งหนึ่งจากปัจจุบันร้อยละ 6 และปรับเปลี่ยนสำรองน้ำมันสำเร็จรูปที่ปัจจุบันกำหนดสำรองร้อยละ 1 โดยควรปรับให้เป็นไปตามภาวะการณ์ที่เปลี่ยนแปลง โดยให้สำรองน้ำมันสำเร็จรูปเฉพาะกลุ่มดีเซลเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสำรองกลุ่มเบนซิน เนื่องจากในอนาคตยานยนต์ไฟฟ้าหรืออีวีจะเข้ามาแทนกลุ่มเบนซินเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่กลุ่มดีเซลยังมีความจำเป็นสำหรับการเดินทาง รถบรรทุกและเครื่องบิน ดังนั้นสำรองกลุ่มดีเซลต้องมีสัดส่วนที่สูงกว่าน้ำมันดิบ
“ปัจจุบันสำรองน้ำมันดิบในตลาดโลกมีสูงมาก ดังนั้น โรงกลั่นฯก็ไม่จำเป็นต้องสำรองน้ำมันดิบเพื่อความมั่นคงในอดีต และควรปรับเปลี่ยนสำรองน้ำมันสำเร็จรูปที่เหมาะสม และเพื่อช่วยเอสเอ็มอีที่เป็นดีลเลอร์น้ำมันในการลดต้นทุนภาครัฐก็ควรจะลดชนิดน้ำโดยเร็วจากที่ปัจจุบันไทยมี 8-9 ชนิด ส่วนต่างประเทศมี 2-3 ชนิดเท่านั้น ซึ่งรัฐก็ควรเร่งพิจารณาสิ่งเหล่านี้” นายชาญศิลป์ กล่าว
นายชาญศิลป์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการผลิตเจลล้างมือแจกจ่ายประชาชนนั้น ในขณะนี้บริษัทในเครือกำลังพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยยืนยันว่า แอลกอฮอล์ที่ขาดแคลนในตลาดนั้น ทาง ปตท.ไม่ได้กักตุนแต่อย่างใด เพราะ ไม่ใช่ผู้ใช้และผู้ผลิต มีเพียง บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (โออาร์) ที่ต้องมีการนำเอทานอลมาใช้ เพื่อผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์เท่านั้น ซึ่งเป็นคนละส่วนกับแอลกอฮอล์ที่ใช้ทางการแพทย์ ทั้งนี้ทาง กลุ่ม ปตท.จะหารือกับกระทรวงสาธารณสุขว่าจะให้ช่วยเหลือบรรเทาปัญหาการขาดแคลนเครื่องมือทางการแพทย์ที่ขาดตลาดในขณะนี้ได้อย่างไร นอกจากนี้ จากการที่รัฐบาลตั้งกองทุนเพื่อรับบริจาคเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในการรับมือการระบาด โรค Covid-19 นั้น ทางกลุ่ม ปตท.กำลังพิจารณาร่วมกันว่าจะบริจาคเท่าใด โดยในส่วนนี้เป็นนโยบายในการดูแลสังคมอยู่แล้ว
นายชาญศิลป์ กล่าวต่อไปว่า ผลการดำเนินงานของปตท. ในปีนี้จะดีขึ้นหรือต่ำกว่าปี 2562 ไม่สามารถตอบได้ แต่มั่นใจว่าจะมีกำไรสูงกว่าปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิ 2 หมื่นล้านบาท โดยช่วงนั้น ผลประกอบการทั้งกลุ่มได้รับผลกระทบจากกรณีราคาน้ำมันที่ร่วงลงแรงจากกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เหลือ ไม่ถึง 30 เหรียญ/บาร์เรล เพราะสหรัฐค้นพบ น้ำมันและก๊าซฯจากหินดินดาน แม้วันนี้ราคาน้ำมันดิบตกต่ำกว่า 30 เหรียญ/บาร์เรลและร่วงจากต้นปีที่อยู่ราว 60 เหรียญ/บาร์เรล ในขณะที่ ปตท.ได้ลงทุนเพิ่ม และภาวะในขณะนี้ น้ำมันดิบที่ราคาลดลง ก็ส่งผลให้ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ทั้งน้ำมันสำเร็จรูป และปิโตรเคมีดีขึ้น ประกอบกับปีนี้ไม่มีการซ่อมบำรุงหรือชัทดาวน์ โดยทั้งกลุ่มได้เตรียมตัว โดยชัทดาวน์ไปปีที่แล้วและ บริษัทฯไม่มีแผนที่จะเข้าไปพยุงหรือซื้อหุ้น คืนแต่อย่างใด ปล่อยให้เป็นไปตามตลาด โดย เชื่อมั่นว่าเมื่อผลประกอบการดีขึ้น ผู้ถือหุ้น ปตท. ก็จะกลับมาซื้อเอง ซึ่งที่ผ่านมาปตท.มีการจ่ายปันผลแต่ละปี ร้อยละ 40 – 50 ของกำไรสุทธิมาตลอดเกือบ 20ปี นี้
สำหรับบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)(ปตท.สผ.) ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงในระยะสั้นเท่านั้น แต่ ปตท.สผ.มีการป้องกันความเสี่ยง(เฮดจิ้ง)น้ำมันดิบไว้แล้ว และไม่มีแผนตั้งสำรองด้อยค่าสินทรัพย์ด้วย ส่วนธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีในกลุ่มปตท. ทั้งบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(PTTG) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)(TOP) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) จะมีผลกระทบจากการขาดทุนสตอกน้ำมันในไตรมาส 1/62 จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวแรง . – สำนักข่าวไทย