กรุงเทพฯ 22 ธ.ค. – คนไทยหันดูแลสุขภาพและความงามมากขึ้น ส่งผลธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงามเป็นธุรกิจดาวเด่นอันดับ 1 ต่อเนื่อง 6 ปี ขณะที่ธุรกิจดั่งเดิม เช่น ฟอกย้อมต้องปรับตัว
นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลการวิจัย 10 อันดับธุรกิจเด่นปี 2560 จากปัจจัยด้านยอดขาย ต้นทุน กำไรสุทธิ ความนิยม และความสามารถในการรับปัจจัยเสี่ยง จากคะแนนรวม 100 คะแนน พบว่า ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงามได้ถึง 94.1 คะแนน ยังคงอยู่อันดับ 1 มา 6 ปี ติดต่อกัน เนื่องจากกระแสการให้ความสำคัญต่อการรักษาสุขภาพและดูแลความงามยังมีอยู่ต่อเนื่อง ประกอบกับการบริการทางการแพทย์และความงามของไทยมีคุณภาพดีราคาไม่แพงได้รับความนิยมจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เช่นเดียวกับธุรกิจเครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวได้ 92.2 คะแนน ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 2 จากอันดับ 3 ในปีที่แล้ว เนื่องจากพฤติกรรมการดูแลรักษาผิวพรรณของทุกช่วงอายุเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ส่วนอันดับ 3 ธุรกิจอี-คอมเมอร์ซ 91.1 คะแนน จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว ทำให้เลือกซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น รวมทั้งภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนช่องทางการขายสินค้าเพิ่มขึ้น อันดับ 4 เป็นธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และอันดับ 5 ธุรกิจวัสดุก่อสร้างและรับเหมาก่อสร้าง รองรับโครงการลงทุนภาครัฐ และที่เหลืออีก 5 อันดับ เป็นธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ ธุรกิจบริการทางการเงิน ธุรกิจโมเดิร์นเทรด ประกันภัย และออแกไนซ์ ธุรกิจซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจการศึกษา และอันดับที่ 10 ธุรกิจให้คำปรึกษาทางกฎหมายและบัญชี ตามลำดับ
ขณะที่ 10 อันดับธุรกิจดาวร่วง อันดับ 1 เป็นธุรกิจฟอกย้อมได้เพียง 11.6 คะแนน จากความต้องการใช้ที่ลดลง รองลงมาเป็นธุรกิจหัตถกรรม ธุรกิจนิตยสาร ธุรกิจร้านเช่าหนังสือ ธุรกิจร้านเช่าวิดีโอซีดี ธุรกิจสิ่งทอผ้าผืน ธุรกิจจัดทำโปสเตอร์ ธุรกิจโรงไม้-เฟอร์นิเจอร์-ตัดและซ่อมรองเท้า และอันดับสุดท้าย ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องจักรทางการเกษตร
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ธุรกิจที่ติด 1 ใน 10 ล้วนมาจากกระแสความนิยมของผู้บริโภคตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับมีนโยบายรัฐบาลที่เข้ามาสนับสนุน โดยธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงามน่าจะยังคงอันดับ 1ต่อเนื่องได้อีก 3 – 5 ปี เนื่องจากยังมีกระแสการรักสุขภาพและดูแลความงาม ซึ่งในการทำธุรกิจปีหน้า จะต้องคำนึงถึงการเข้ามาของดิจิทัล และการที่รัฐบาลส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลมากขึ้น รวมทั้งการเป็นสังคมเมืองและการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ทำให้การทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องได้รับความนิยมมากขึ้น นอกจากนี้ กระแสรักสุขภาพและดูแลตนเองมากขึ้น ทำให้ธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภค
ทั้งนี้ ทางศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวชัดเจนขึ้นช่วงปลายไตรมาส 2 จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ การกระจายเม็ดเงินสู่ภูมิภาค รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ที่จะมีผลต่อการบริโภคภาคเอกชน ขณะเดียวกันการส่งออกน่าจะกลับมาขยายตัวได้ร้อยละ 1.4 ส่งผลให้เศรษฐกิจปี 2560 ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 3.6 แต่ยังมีความเสี่ยง จากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าของโลกให้เกิดความไม่แน่นอน นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวและสัดส่วนหนี้สินต่อครัวเรือนที่ยังสูงอาจส่งผลต่ออำนาจซื้อของประชาชน และสถาบันการเงินเองก็จะระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น .-สำนักข่าวไทย