อยุธยา 30 ม.ค.-สาววัย 30 ปี ดับปริศนาคาห้องนอนปล่อยให้ลูกสาววัยขวบเศษนั่งร้องไห้อยู่ข้างศพ ส่วนสามีหายตัวไร้วี่แวว
ร.ต.อ กัมพล อินทีวงศ์ รองสว.(สอบสวน) สภ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา รับแจ้งเหตุมีผู้เสียชีวิต ภายในบ้านพัก ต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา จึงรายงาน พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา พ.ต.อ สุรพงศ์ ธรรมพิทักษ์ ผกก.สภ.พระนครศรีอยุธยา แพทย์เวรโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา และเจ้าหน้าที่มูลนิธิพุทไธสวรรย์ รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบเป็นบ้านไม้สองชั้นอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีผู้เสียชีวิตนอนอยู่บนชั้น 2 ภายในห้อง เป็นผู้หญิงอายุ 30 ปี สภาพศพ สวมชุดนอนใกล้กันยังพกมีด 1 เล่ม วางอยู่ข้างหัวนอน ตรวจสอบภายในห้องไม่พบร่องรอยการต่อสู้ แพทย์เวรโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าผู้เสียชีวิตมีร่องรอยแผลถลอกที่คางและมีรอยช้ำที่หน้าอก ส่วนบาดแผลอื่นไม่พบตามร่างกาย คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง จึงให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิ พุทไธสวรรย์นำส่งชันสูตรโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
สอบถามญาติของผู้เสียชีวิตและพักอยู่อาศัยในบ้านที่เกิดเหตุ ระบุผู้ตายทำงานเป็นลูกจ้างคลินิกทันตกรรมในตัวเมืองอยุธยา และได้อยู่กินกับสามีอายุ 38 ปี มาเป็นเวลา 2 ปี แล้วโดยมีลูกสาว 1 คน อายุ 1 ขวบ 5 เดือน และเมื่อคืนที่ผ่านมา ผู้เสียชีวิตได้เข้าไปพักผ่อนนอนในห้องกับสามีและลูกสาวตามปกติเหมือนทุกวัน พอช่วงเช้าเวลาประมาณ 08.00 น ตนได้ยินเสียงลูกสาวของผู้ตายร้องไห้เสียงดังอยู่นานแล้ว จึงได้เปิดประตูห้องเข้าไปดูพบเสียชีวิตแล้ว ส่วนสามี ไม่ทราบว่าหายไปตอนไหน โดยได้นำรถจักรยานยนต์ของที่บ้านหายไปด้วย และติดต่อไม่ได้เนื่องจากปิดโทรศัพท์ ตนจึงโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. พระนครศรีอยุยาให้มาตรวจสอบ
ทางด้าน พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา เผยว่าจากการสอบถามญาติ พบว่าสามีชอบมีปากเสียงกับผู้ตายอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ทราบสาเหตุเรื่องอะไร และคาดว่าช่วงเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาอาจจะทะเลาะอยู่กันในห้องจนเกิดการทำร้ายร่างกายกันจนมีรอยบาดแผลเขียวช้ำ และมีดอีโต้ที่พบอยู่บนหัวนอนตรวจสอบแล้วไม่พบรอยคราบเลือดแต่อย่างใด จึงไม่แน่ใจว่าสาเหตุที่เสียชีวิตนั้นด้วยสาเหตุอันได้ จึงได้สั่งการให้เจ้าที่ตำรวจและชุดสืบสวน สภ. พระนครศรีอยุยาออกติดตามหาตัว สามี มาทำการสอบสวนหาอย่างละเอียดอีกครั้งหากพบว่าหากกระทำความผิดจะดำเนินคดีต่อไป.-สำนักข่าวไทย