รัฐสภา 31 พ.ค. – นายกรัฐมนตรีย้ำการใช้เงินกู้มีการตรวจสอบทุกขั้นตอน ยืนยันว่าไม่เคยคัดค้านการตั้ง กมธ.วิสามัญเพื่อการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณฯ แต่เห็นว่าเป็นเรื่องของสภาฯ ในการพิจารณา พร้อมขอให้เชื่อมั่นและไว้วางใจรัฐบาล
ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติอนุมัติ พ.ร.ก.กู้เงิน ทั้ง 3 ฉบับแล้ว ฉบับแรกคือ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ประชุมเห็นชอบ 274 เสียง ไม่เห็นด้วย 0 เสียง งดออกเสียง 207 เสียง ส่วน พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ประชุมเห็นชอบ 275 เสียง ไม่เห็นชอบ 1 เสียง งดออกเสียง 205 เสียง และ พ.ร.ก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ เห็นชอบ 274 เสียง ไม่เห็นชอบ 195 เสียง งดออกเสียง 12 เสียง ไม่ออกเสียง 1 เสียง หลังจากพิจารณายาวนานมาตลอด 5 วันที่ผ่านมา
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า รัฐบาลไม่เคยเอื้อประโยชน์ให้กับใคร ทั้งนี้ รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาใน 5 มิติ ประกอบด้วย การลดค่าใช้จ่าย เพิ่มสภาพคล่อง เยียวยาทุกกลุ่ม ชะลอหนี้สิน และการเข้าถึงแหล่งเงิน พร้อมชี้แจงถึงมาตรการฟื้นฟู 400,000 ล้านบาท ว่าต้องดูแลให้ดีที่สุด เพื่อสนับสนุนเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ ยืนยันยินดีให้ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ ซึ่งการใช้จ่ายเงินกู้นั้น มีการตรวจสอบทุกขั้นตอน และเพื่อความโปร่งใส สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำเว็บไซต์ติดตามความก้าวหน้าของแต่ละแผนงานและโครงการ ส่วนข้อเสนอการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณตาม พ.ร.ก.กู้เงิน ทั้ง 3 ฉบับ นายกรัฐมนตรีระบุว่าไม่ได้คัดค้าน เพราะเป็นเรื่องของสภาฯ ที่ต้องไปหารือกัน หากจะให้พูดตอนนี้เห็นว่ายังไม่ถึงเวลา พร้อมขอให้เชื่อมั่นและไว้วางใจรัฐบาล
ขณะที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงความจำเป็นออก พ.ร.ก.กู้เงิน ว่าเพื่อป้องกันเศรษฐกิจไทยพัง และเตรียมมาตรการช่วยเหลือ SME ที่ไม่ได้อยู่ในระบบเงินกู้ธนาคาร พร้อมย้ำว่างบ 400,000 ล้านบาท จะฟื้นฟูเศรษฐกิจจากภายใน
ล่าสุดที่ประชุมสภามีมติอนุมัติ พ.ร.ก.ว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และประธานสั่งปิดการประชุม พร้อมนัดประชุมครั้งต่อไปเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณ ในวันที่ 4 และ 5 มิถุนายน.-สำนักข่าวไทย