fbpx

“พล.ต.อ.อัศวิน” ลุยตรวจระบบระบายน้ำ กทม.รับมือฤดูฝน

กทม.28 พ.ค.-ผู้ว่าฯ กทม.นำคณะ ลุยตรวจระบบระบายน้ำพื้นที่กรุงเทพฯ เตรียมพร้อมรับมือหน้าฝนปีนี้ แก้ปัญหาจุดอ่อนน้ำท่วม เช่น ถนนพหลโยธิน บริเวณแยกเกษตรศาสตร์ , ช่วงแยกรัชโยธิน-แยกเกษตร , ถนนวิภาวดีรังสิต และบริเวณปากซอยสุทธิพร 2 เขตดินแดง



พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมด้วยผู้บริหารจากสำนักระบายน้ำ ลงพื้นที่ตรวจระบบระบายน้ำเพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างระบบระบายน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม (Pipe Jacking) ถนนพหลโยธิน บริเวณแยกเกษตรศาสตร์ ,ระบบระบายน้ำที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแยกรัชโยธิน-แยกเกษตร โครงการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพระบบระบายน้ำตามแนวถนนวิภาวดีรังสิต  และโครงการก่อสร้างบ่อหน่วงน้ำ  ใต้ดิน (Water Bank) บริเวณปากซอยสุทธิพร 2 เขตดินแดง 


นายณรงค์ เรืองศรี ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ กล่าวว่า  ช่วงถนนพหลโยธิน ช่วงรอบแยกเกษตรศาสตร์ มีการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคมากมาย ส่งผลกระทบทำให้ประสิทธิภาพในการระบายน้ำลดลง เมื่อฝนตกหนักจึงเกิดน้ำท่วมขังบ่อยครั้ง แก้ปัญหาด้วยการก่อสร้างระบบระบายน้ำด้วยวิธีดันท่อลอด (pipe jacking) พร้อมก่อสร้างบ่อสูบน้ำบริเวณถนนประเสริฐมนูกิจ ตอนลงคลองลาดพร้าว กำลังสูบ 4.50 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมบริเวณแยกเกษตรศาสตร์ ขณะนี้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว สามารถช่วยบรรเทาและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังบริเวณดังกล่าวได้ 

ส่วนจุดที่ 2 ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ช่วงแยกรัชโยธิน-แยกเกษตร ฝาท่อระบายน้ำถูกปิดทับ  ได้ขอให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) แก้ไขปัญหาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 มิ.ย.นี้ 


ขณะที่จุดที่ 3 สถานีสูบน้ำตามแนวถนนวิภาวดีรังสิต บริเวณคลองบางซื่อ เป็นส่วนหนึ่งในโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบระบายน้ำ บริเวณถนนวิภาวดีรังสิต  ซึ่งเดิมถนนอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของกรมทางหลวง ต่อมาเมื่อปี 2542 กรมทางหลวงมอบให้ กทม.ดูแลรับผิดชอบระบบระบายน้ำบริเวณคูน้ำตามแนวถนนวิภาวดีรังสิตทั้ง 2 ฝั่ง โดยสถานีสูบน้ำตามแนวถนนวิภาวดีรังสิตที่เปิดใช้งานมาอย่างยาวนาน อัตรากำลังสูบน้ำที่มีอยู่เดิม 59 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ทำให้ไม่สามารถระบายน้ำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จึงปรับปรุงสถานีสูบน้ำตามแนวถนนวิภาวดีรังสิต จำนวน 15 สถานี โดยดำเนินการปรับปรุงแล้วเสร็จ 9 สถานี อัตรากำลังสูบน้ำ รวม 90 ลูกบาศก์เมตร/วินาที 

สำหรับสถานีสูบน้ำ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุง อาทิ สถานีสูบน้ำคลองบางซื่อขาเข้าฝั่งใต้ คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน มิ.ย.นี้ โดยจะเพิ่มอัตรากำลังสูบน้ำเป็น 92 ลูกบาศก์เมตร/วินาที เมื่อโครงการปรับปรุงสถานีสูบน้ำตามแนวถนนวิภาวดีรังสิตแล้วเสร็จทั้งหมด 15 สถานี จะเพิ่มอัตรากำลังสูบน้ำจาก 92 ลูกบาศก์เมตร/วินาที เป็น 110 ลูกบาศก์เมตร/วินาที สามารถระบายน้ำลงสู่คลองบางซื่อ คลองลาดยาว คลองบางเขน คลองวัดหลักสี่ ระบายออกสู่คลองเปรมประชากร  และอีกส่วนหนึ่ง ระบายออกคลองลาดพร้าว  ตลอดจนช่วยรองรับน้ำบริเวณคูน้ำตามแนวถนนวิภาวดีรังสิต ทั้งฝั่งขาเข้าและฝั่งขาออกเข้าสู่ระบบอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5.00 เมตร ความยาว 6.40 กิโลเมตร กำลังสูบ 60 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  นอกจากนี้ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำชนิดเครื่องยนต์เสริม 10 เครื่อง กำลังสูบน้ำรวม 20 ลูกบาศก์เมตร/วินาที คลอดแนวถนนวิภาวดีรังสิต และติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 3 แห่ง เพื่อเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ฝนในปีนี้

และจุดที่ 4 จุดก่อสร้างบ่อหน่วงน้ำใต้ดิน (water bank) บริเวณปากซอยสุทธิพร 2 ขณะนี้ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ รวมถึงป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังถนนอโศกดินแดง ช่วงจากสี่แยกประชาสงเคราะห์  ถึงซอยขวัญพัฒนา  และพื้นที่ใกล้เคียง รูปแบบการทำงานของบ่อหน่วงน้ำใต้ดิน (Water Bank) จะเริ่มจากการก่อสร้างบ่อเก็บน้ำขนาดใหญ่ไว้ใต้ดิน ลึกประมาณ 8-9 เมตร เพื่อรองรับน้ำฝนในช่วงเวลาที่ฝนตกเข้ามากักเก็บไว้ที่บ่อเก็บน้ำ  โดยการเชื่อมท่อระบายน้ำเข้ากับท่อระบายน้ำเดิม หรืออาจจะวางท่อระบายน้ำใหม่จากบ่อเก็บน้ำไปยังคลองโดยตรง 

พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องสูบน้ำ เมื่อฝนหยุดตกและระดับน้ำในคลองลดต่ำลง จะระบายน้ำออกจากบ่อเก็บน้ำลงสู่คลองในพื้นที่  รวมถึงสามารถเร่งระบายน้ำจากบ่อเก็บน้ำ เมื่อเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องและปริมาณน้ำเกินความจุของบ่อเก็บน้ำ กล่าวคือบ่อหน่วงน้ำใต้ดิน(Water Bank) สามารถใช้เป็นทั้งแก้มลิงรับน้ำฝนและใช้เป็นบ่อสูบน้ำกรณีที่ฝนตกหนักอย่างต่อ เนื่อง

นอกจากนี้ กทม.ได้เตรียมความพร้อมรับมือน้ำฝนปีนี้อย่างเต็มที่ เพื่อลดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน ทั้งการขุดลอกคูคลอง  ลอกท่อระบายน้ำ เตรียมเครื่องสูบน้ำตามจุดต่างๆ โดยเฉพาะในพื้นที่จุดอ่อนน้ำท่วม โดยปีนี้จุดอ่อนน้ำท่วมลดลงจากปีที่แล้วจาก 17 จุดเหลือ 14 จุด ขณะที่การแก้ปัญหาระบบไฟฟ้าขัดข้องที่อุโมงค์ระบายน้ำบางซื่อ ก็แก้ไขเรียบร้อยแล้ว ปีนี้เชื่อว่าการระบายน้ำจะดีขึ้น เช่น ถ้าฝนตก 60-70 มิลลิเมตร สามารถระบายน้ำได้ปกติ หากฝนตกหนัก 100 มิลลิเมตร มีน้ำท่วมขังแน่ๆ แต่เดิมใช้เวลาระบายน้ำ 4-5 ชั่วโมงปีนี้จะระบายได้เร็วขึ้นเหลือ1-3 ชั่วโมง  โดยตลอด 4 ปีที่ผ่านมา กทม.ได้พัฒนาระบบระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งดีขึ้นกว่าเดิมถึงร้อยละ50 .-สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชายถูกยิงในซิดนีย์หลังมีรายงานเหตุแทงกันในห้างฯ

ตำรวจของนครซิดนีย์ ของออสเตรเลียรายงานว่า ชายคนหนึ่งถูกยิงที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในนครซิดนีย์ในวันนี้หลังมีรายงานข่าวว่า มีผู้ถูกแทงหลายคนในห้างสรรพสินค้าดังกล่าว

ลำปาง เสาไฟฟ้าแรงสูงล้มกว่า 20 ต้น ทับรถ 7 คัน

พายุฝนถล่มลำปาง เสาไฟฟ้าแรงสูงล้มกว่า 20 ต้น ทับรถ 7 คัน รถยังไม่สามารถออกได้ เจ้าหน้าที่ระดมกำลังเร่งเคลียร์เพื่อสะดวกในการจารจรช่วงสงกรานต์ คาดใช้เวลา 5 วัน พร้อมตั้งศูนย์บัญชาการแก้ปัญหาที่ไทวัสดุแล้ว

แม่ร้องลูกชายโดนกลุ่มโจ๋หัวร้อนรุมทำร้ายกะโหลกศีรษะร้าว

แม่ร้องสื่อลูกชายถูกกลุ่มวัยรุ่นหัวร้อนยกพวกนับสิบรุมทำร้ายจนสลบคาที่ วอนตำรวจเร่งจับตัวกลุ่มวัยรุ่นมาดำเนินคดี

ข่าวแนะนำ

ควันหลงสีสันสงกรานต์…ที่สุดในสงกรานต์เชียงใหม่

ปี๋ใหม่เมืองหรือสงกรานต์เชียงใหม่ปีนี้คึกคักเกินคาด หลังเจอกับพิษหมอกควันมาหลายเดือน จนหลายฝ่ายกังวลผลกระทบต่อการท่องเที่ยว แต่สุดท้ายด้วยเสน่ห์ของวัฒนธรรมและความสนุกสนานในการเล่นน้ำรอบคูเมืองเชียงใหม่ ทำให้นักท่องเที่ยวยังหลั่งไหลไปฉลองสงกรานต์ที่นั่น ซึ่งเต็มไปด้วยสีสันในช่วงสงกรานต์

ถนนมิตรภาพ รถหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ

หลังจบเทศกาลสงกรานต์ ประชาชนเริ่มเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ กันหนาแน่น เต็มถนนมิตรภาพ ตลอดทั้งวัน คาดช่วงกลางคืน รถเพิ่มขึ้นอีก

กรมเจ้าท่า สั่งสอบเหตุเพลิงไหม้เรือท่องเที่ยวรับประทานอาหาร

ระทึก! เพลิงไหม้ไฟลุกท่วม เรือนำนักท่องเที่ยวล่องเรือรับประทานอาหาร ช่วยนักท่องเที่ยวปลอดภัย ล่าสุดกรมเจ้าท่า สั่งสอบสวนสาเหตุแล้ว

จับตาโผ ครม. ‘เศรษฐา 2’ คาดชัดหลัง 18 เม.ย.นี้

โผปรับคณะรัฐมนตรี ‘เศรษฐา 2’ จะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้ หรืออย่างช้าไม่เกินต้นเดือนพฤษภาคม หลังนายกรัฐมนตรีได้หารือที่พรรคร่วมรัฐบาลแล้ว