ศบค.แถลง มีผู้ป่วยใหม่ 29 ราย เสียชีวิตอีก 3 ราย

ทำเนียบฯ 16 เม.ย.- ศบค.แถลง มีผู้ป่วยใหม่ 29 ราย เสียชีวิตอีก 3 ราย  ขอทุกคนอย่าเพิ่งผ่อนคลายการปฎิบัติตัว  อาจทำให้ตัวเลขผู้ป่วยกลับมาเพิ่มสูงขึ้นได้   ชื่นชม 25 จังหวัดไม่ป่วยเพิ่มใน 2 สัปดาห์  เผย นร. AFS เตรียมกลับไทยอีกกว่า 400 คน


นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลง สถานการณ์โควิด-19 วันนี้ (16 เม.ย.) ว่า ไทยมีรายงานผู้ป่วยใหม่ 29 ราย รวมผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 2,672 ราย รักษาหาย 1,593 ราย รักษาตัวอยู่ 1,033 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย รวม 46 ราย 

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ผู้เสียชีวิตรายล่าสุด เป็นชาย สัญชาติมาเลเซีย อายุ 55 ปี อาชีพไกด์ทัวร์  ไม่มีโรคประจำตัว แต่มีประวัติเสี่ยงเดินทางไปจอร์เจีย ในวันที่ 13- 9 มีนาคม และมีลูกทัวร์ป่วยเป็นโควิด-19 จากนั้น เดินทางกลับไทยวันที่ 19 มีนาคม และเริ่มป่วยวันที่ 21 มีนาคม แต่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 29 มีนาคม ด้วยอาการไอ เหนื่อย ออกซิเจนในเลือดลดลงเหลือ 88 % ผลเอกซเรย์ปอด พบปอดอักเสบ และพบติดเชื้อโควิด-19 จากนั้นสองสัปดาห์อาการแย่ลงและเสียชีวิตเมื่อ 14 เมษายน


นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า  อีกรายเป็นหญิงไทย อายุ 35 ปี อาชีพพนักงานบริษัท มีโรคประจำตัวเบาหวาน และไขมันในเลือดสูง ทำการรักษาไม่ต่อเนื่อง เริ่มป่วยวันที่ 20 มีนาคม ด้วยอาการไอ เหนื่อย เข้ารักษาที่โรงพยาบาลเอกชน รับยากลับไปพักที่บ้าน แต่อาการไม่ดีขึ้น และกลับมารักษาอีกครั้ง เมื่อวันที่ 26 มีนาคมด้วยอาการไอ เหนื่อยมากขึ้น และพบปอดอักเสบรุนแรง และติดเชื้อในกระแสเลือด เมื่อ 27 มีนาคม ตรวจพบเชื้อโควิด-19 โดยระหว่างการรักษา ผู้ป่วยเหนื่อยมากขึ้น ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ จนอาการแย่ลงและเสียชีวิต เมื่อ 15 เมษายน

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า รายสุดท้าย เป็นชายไทยอายุ 37 ปี อาชีพรับจ้างทั่วไป ขับรถแบคโฮ มีโรคประจำตัวความดันโลหิตสูง และภาวะอ้วน ประวัติเสี่ยง คือ ภรรยาทำงานร้านอาหารย่านสุขุมวิท โดยเมื่อ 18 มีนาคม หลังปิดร้านได้กลับบ้านที่ จ.ปราจีนบุรี ต่อมาวันที่ 22 มีนาคมมีอาการไข้สูงทอมซินอักเสบรักษาที่คลินิกในจังหวัดปราจีนบุรี แต่อาการไม่ดีขึ้น  และเข้ารับการรักษาที่คลินิกอีก4-5ครั้ง แต่อาการไม่ดีขึ้น จึงได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด  วันที่ 6 เมษายนด้วยอาการไข้สูง 39.1 องศาเซลเซียส หน้ามืดและใส่ท่อช่วยหายใจ  ส่งตรวจพบเชื้อโควิด-19 จากนั้น อาการแย่ลงและเสียชีวิต 15 เมษายน

“แม้ตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่จะไม่เพิ่มสูงมาก ทำให้หลายคนเกิดความสบายใจ เราอยากจะมีความผ่อนคลายตัวเอง รวมถึง มีการพบปะรวมตัวใกล้ชิดกัน ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาตามมา  ตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่ที่เห็นผลดีนั้น มาจาก 14 วันที่แล้ว หลังมีการประกาศเคอร์ฟิว เมื่อ 3 เมษายน ดังนั้น หากหลายคนอยากจะให้มีการผ่อนคลาย ก็จะต้องคำนึงว่า ในอีก 14 วันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น และอาจทำให้มีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นได้” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว


นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า  จากจำนวนตัวเลขผู้ป่วยใหม่ 29 ราย พบว่า มาจากการสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ 14 ราย คนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ  2 ราย  ไปสถานที่ชุมนุมชน 1 ราย อาชีพเสี่ยง 2 ราย ไม่มีบุคลากรทางการแพทย์ และอยู่ระหว่างสอบสวนโรค 10 ราย  

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า  ผู้ป่วยสะสม 2,672 ราย พบใน 5 จังหวัดที่สูงที่สุดได้แก่ กรุงเทพมหานคร 1,349 ราย ภูเก็ต 191 ราย นนทบุรี 148 ราย สมุทรปราการ 108 ราย ยะลา 96 ราย และเมื่อจำแนกอัตราป่วยต่อประชากร 1 แสนคน พบว่า  ภูเก็ต มีผู้ป่วยมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 46.20 กรุงเทพมหานคร ร้อยละ 23.79 ยะลา ร้อยละ 17.97 ปัตตานี ร้อยละ 11.92 และนนทบุรี ร้อยละ 11.78 และ ขณะที่ 9 จังหวัดยังไม่มีรายงานการรักษาผู้ป่วย ได้แก่ กำแพงเพชร ชัยนาท ตราด น่าน บึงกาฬ พิจิตร ระนอง สิงห์บุรี และอ่างทอง

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า มี 25 จังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยใหม่ ในช่วง 14 วันที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 2-15 เมษายน ได้แก่ เชียงราย เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี จันทบุรี  นครนายก บุรีรัมย์ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด ราชบุรี ลพบุรี ลำพูน ศรีสะเกษ สมุทรสงคราม สระบุรี สุโขทัย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ อุดรธานี อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี จึงขอชื่นชมทั้ง ผู้ว่าราชการจังหวัด ฝ่ายปกครองนพ.สาธารณสุขจังหวัด เจ้าหน้าที่ทุกคนและประชาชน ที่ทำให้ไม่มีผู้ป่วยใหม่ในจังหวัดภายใน 14 วัน 

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สถานการณ์ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อแล้วรวม 2,083,304 ราย เสียชีวิต 134,616 ราย สหรัฐอเมริกา อยู่ที่อันดับ 1 มีผู้ติดเชื้อ 64,089 ราย ตาย 28,529 ราย ส่วนไทยยังอยู่ที่อันดับที่ 50 เช่นเดิม ส่วนประเทศอื่นๆ มีผู้ป่วยใหม่เช่น เกาหลีใต้  22 ราย ฟิลิปปินส์ 230 รายอินโดนีเซีย 297 ราย มาเลเซีย 85 ราย สิงคโปร์ 447 ราย และญี่ปุ่น 741 ราย

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า   จะมีเที่ยวบินของคนไทยที่ตกค้างเดินทางกลับไทย วันนี้ (16 เม.ย.) จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 119 คน และ มัลดีฟส์ 55 คน และวันที่ 17 เมษายน จากบังคลาเทศ 35 คน  ส่วนนักเรียนไทยในสหรัฐฯ (AFS) จะเดินทางกลับมา  วันที่ 17 เมษายน 129 คน /18 เมษายน 123 คน และ 19 เมษายน 160 คน โดย ในแต่ละวันจะให้เดินทางกลับเข้ามาไม่เกิน 200 คน ส่วนคนไทยที่ยังตกค้างในต่างประเทศ  กระทรวงการต่างประเทศ และ สถานทูตได้ไปดูแล ติดต่อกับประชาชนอย่างเต็มที่ รวมถึง นำอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ไปให้ .- สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง