รัฐสภา 25 ก.พ.- นายกฯ แจงรัฐบาลไทยพร้อมต่อสู้คดีเหมืองบริษัทอัคราเต็มกำลัง ยืนยันที่ใช้คำสั่งมาตรา 44 ไม่ได้ยึดเหมือง แต่ให้ระงับใบอนุญาตไว้ชั่วคราว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน ย้ำว่ายังไม่สามารถชี้แจงรายละเอียดได้ เหตุอนุญาโตตุลาการไม่ให้เปิดเผยความลับ อาจกระทบต่อรูปคดี
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตพรรคอนาคตใหม่ อภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชี้ว่ามีพฤติกรรมส่งผลเสียหายต่อรัฐและประชาชน มีการงดเว้นละเว้นการใช้อำนาจและเพิกเฉยต่อการทำสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายระหว่างรัฐและเอกชน กรณีร้านค้าปลอดอากรภาษีของบริษัทท่าอากาศยานไทยจำกัด (ทอท.) โดยเฉพาะในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้มีการบรรเทาผลกระทบลดค่าตอบแทนที่ต้องคืนให้รัฐเป็นเวลา 2 ปี โดยบอร์ด ทอท.กล่าวอ้างว่าอยู่ภายใต้ข้อสั่งการของนายกฯ หลังการประกาศข่าวของบอร์ด ทอท. เป็นการช็อกตลาดหุ้นไทย ที่งดเว้นการจัดเก็บรายได้ขั้นต่ำจากเอกชน ในช่วงปี 2563-2565 ทำให้รายได้หายไปถึง 30,000 ล้านบาท ส่งผลให้หุ้นตกไปถึง 6% ซึ่งจากการติดตามข้อสั่งการของนายกฯ เป็นเพียงมาตรการพยุงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ซึ่งต้องทำควบคู่กันหลายมาตรการ แต่บอร์ดทีโอทีทำแบบนี้ได้โดยไม่ต้องยึดมติ ครม. เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กระทำก่อนหน้านี้ในการออกกฎหมาย พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ เพื่อเอื้อเอกชนรายใดรายหนึ่งมาก่อน
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ที่ถูกแก้มาก่อนหน้านี้ ทำให้ประเภทร้านค้าสนามบินถูกมัดรวมกัน ให้สิทธิเจ้าเดียวโดยไม่ต้องบอกประเภทสินค้า ที่ผ่านมมีความพยายามหลีกเลี่ยง พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ เพราะมีความเคร่งครัดไป จึงเท่ากับ ทอท.มีสิทธิขาดตั้งแต่คัดเลือกจนถึงการพิจารณาสัญญาผูกขาดเจ้าเดิมเจ้าเดียว ทั้งนี้ พบว่าที่ผ่านมาบริษัทที่ได้สัมปทาน 3 บริษัท บริจาคโต๊ะจีนให้พรรคการเมืองหนึ่ง 24 ล้านบาท จึงไม่เชื่อว่าเงินแค่ 24 ล้านบาท จะทำให้หลับตาข้างหนึ่ง ยอมแก้กฎหมาย ยอมออกประกาศให้เอกชนรายหนึ่งยอมรับประโยชน์โดยมิชอบ
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย นำภาพในกระแสโซเชียลที่ไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาลโดยเฉพาะนิสิตนักศึกษาเคลื่อนไหวมาอภิปรายตั้งคำถามศักยภาพของผู้นำในการบริหารประเทศ และชี้ถึงผลกระทบจากมาตรา 44 ที่เปิดช่องให้มีการฮุบเหมืองทองแห่งหนึ่งในจังหวัดพิจิตร จึงทำให้ไทยเกิดข้อพิพาทกับบริษัทเอกชน ในออสเตรเลียจนถูกนำข้อพิพาทเข้าสู่คณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ซึ่งหากมีการชี้ขาดว่า รัฐบาลไทยล่วงละเมิดข้อตกลงทางการค้า อาจทำให้ไทยต้องชดใช้ค่าเสียหาย 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงไม่ไว้วางใจให้บริหารประเทศต่ออยากให้ลาออก
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีอภิปรายออกคำสั่งยึดเหมืองชาตรี ของบริษัทอัครารีซอร์สเซสว่า รู้สึกแปลกใจว่าตอนกลางวันก็ทักทายกันดี แต่พออภิปรายบรรยากาศตึงเครียด ไม่รู้ว่าไปกินอาหารอะไรผิดมาหรือเปล่า พร้อมชี้แจงว่า บริษัทอัคราเป็นผู้ดำเนินการขอสัมปทานเพิ่มอีก 9 แปลง อายุ 20 ปี ถึงปี 2571 แต่ที่ผ่านมาก็มีการร้องเรียนมาถึง 6 รัฐบาลด้วยกัน ว่ามีการปนเปื้อนมีสารพิษ มีการเดินขบวนต่อต้าน จึงมีการพิสูจน์อย่างต่อเนื่อง โดยคณะกรรมการหลายคณะ ยืนยันว่าไม่ได้ออกคำสั่งยึดเหมืองมาเป็นของตนเอง แต่เป็นการระงับใบอนุญาตชั่วคราว เพื่อผลประโยชน์สาธารณะและสุขภาพที่ดีของประชาชน และให้ปิดกิจการตั้งแต่ปี 2560 จนกว่ามติจะเป็นอย่างอื่น โดยบริษัทคิงส์เกต ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัทอัครา ยื่นต่ออนุญาโตตุลาการ ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องการพิจารณาตามความเหมาะสม พร้อมยกปัญหาที่ผ่านมาหลายรัฐบาล แต่ไม่ได้รับการแก้ไข
ส่วนข้อสังเกตที่มีผู้รับผลประโยชน์แทน พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่า เรื่องนี้ก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ขณะนี้ฝ่ายคู่พิพาทก็พยายามหาช่องทางการเจรจาคู่กันไปด้วย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกลไกการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ โดยการพิจารณาเพิ่งเริ่มต้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2562 แต่ยืนยันว่าเป็นไปโดยความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อปกป้องพี่น้องประชาชน ซึ่งคณะอนุญาโตตุลาการมีข้อบังคับไม่ให้คู่พิพาทเปิดเผยข้อมูลเอกสารต่อสาธารณะ และให้ผู้ที่เกี่ยวข้องลงนามหนังสือรักษาความลับ เพื่อไม่ให้กระทบต่อรูปคดี แต่รัฐบาลยืนยันว่าจะต่อสู้คดีให้เต็มกำลัง หากมีช่องทางใดจะทำให้ยุติได้ก็ต้องทำ
นายกรัฐมนตรี ยังชี้แจงถึงการจัดตั้งร้านค้าปลอดอากรในสนามบิน ที่มีกล่าวหาว่าเพื่อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนรายเดียวว่า ศาลปกครองมีคำวินิจฉัยว่ากิจการร้านค้าปลอดอากร ไม่ใช่บริการสาธารณะ แต่เป็นการบริการเชิงพาณิชย์ ประกอบกับไม่ใช่กิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็นต้องมีทุกท่าอากาศยาน นอกจากนี้ กิจการร้านค้าปลอดอากรเป็นกิจการที่เสริมท่าอากาศยาน ไม่ใช่กิจการที่จำเป็นหรือขาดไม่ได้ โดยมีความเห็นพิจารณาร่วมกันหลายหน่วยงาน และคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการร่างประกาศที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้เข้าข่ายสั่งการเอื้อประโยชน์
นายกรัฐมนตรี ยังชี้แจงถึงการใช้ประโยชน์ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ว่าดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายทุกประการ มีการรับฟังความคิดเห็น มีการใช้แผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดินทั้ง 3 จังหวัดในพื้นที่ โดยพื้นที่พัฒนาเมืองและชุมชนรวม 1 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 13 ของพื้นที่ทั้งหมด พื้นที่อุตสาหกรรมรวม 424,854 ไร่ ถือเป็นร้อยละ 5.12 ของพื้นที่ทั้งหมด โดยการตัดสินใจต้องมีการพิจารณาโดยคณะกรรมการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และต้องให้คณะรัฐมนตรีตัดสินใจด้วย ซึ่งร่างแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน มุ่งเน้นการพัฒนาพื้นที่และการรักษาทรัพยากรสิ่งแวดล้อม กำหนดพื้นที่อุตสาหกรรมให้อยู่ห่างจากป่าไม้ แม่น้ำ ลำคลอง ชายฝั่งทะเล โดยกำหนดพื้นที่สงวนเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากร 1.6 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 20 ของพื้นที่ทั้งหมด มีวิธีการดูแลเยียวยาที่เหมาะสมยอมรับได้ คณะกรรมการจะติดตามผลงานต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ และเน้นย้ำให้ประชาชนมีส่วนร่วมเสมอ
นายกรัฐมนตรีชี้แจงเกี่ยวกับการแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งมีเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาวในวันที่มีความกดอากาศสูงแผ่ลงมาจากประเทศจีนมีกำลังอ่อนลงทำให้เกิดภาวะฝาชีครอบเกิดทุนสะสมเกินมาตรฐานบางเวลาโดยให้การแก้ไขเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติโดยมี 3 มาตรการหลัก คือ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ ป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษ โดยกรุงเทพมหานครมีปัญหาเกิดจากการจราจรร้อยละ 72.5 โดยมีนโยบายสนับสนุนให้เปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้า เปลี่ยนรถ ขสมก. ให้เป็นรถมลพิษต่ำ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับบังคับใช้กฎหมายเข้มงวด ซึ่งขณะนี้มียอดจับกว่าหมื่นคันแล้ว กำหนดมาตรฐานรถยนต์ใหม่ตามมาตรฐานยูโร 5 ในปี 2564 และมาตรฐานยูโร 6 ในปี 2565 พร้อมย้ำว่าทุกอย่างต้องมีขั้นตอนการแก้ไข รวมถึงมีการส่งเสริมปลูกต้นไม้ดักจับฝุ่นละออง มีมาตรการทางภาษีสรรพสามิต สนับสนุนการใช้น้ำมันดีเซลบี 20 และบี 20 ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตให้สอดคล้องกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้บรรยากาศตลอดทั้งวันค่อนข้างราบรื่น แต่เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมามีมีการประท้วงจาก ส.ส.รัฐบาล โดยเฉพาะช่วงที่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ดวงนายกรัฐมนตรีทำลายดวงเมือง ซึ่งสังเกตได้ชัดเจนว่านายกรัฐมนตรี พยายามคุมอารมณ์และแสดงสีหน้ายิ้มแย้ม.-สำนักข่าวไทย