นนทบุรี 15 ม.ค. – พาณิชย์เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นในอนาคตมีแนวโน้มดี ภาครัฐผลักดันมาตรการเชิงรุกต่อเนื่อง
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ชี้แจงประเด็นผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ว่า เป็นข้อมูลข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของภาครัฐ เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดต่อข้อกังวลของภาคธุรกิจ
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำการสำรวจความเชื่อมั่นลักษณะเดียวกันเจาะกลุ่มผู้บริโภคใน 7 สาขาอาชีพ ซึ่งผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของกระทรวงพาณิชย์เดือนธันวาคม 2562 พบว่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 44.5 คงที่ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ขณะที่ดัชนีปัจจุบันปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจาก 39.0 เป็น 39.4 และดัชนีอนาคตอยู่ที่ระดับ 48.0 เมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีความเชื่อมั่นของหอการค้าไทยแล้วพบว่ามีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคตเฉลี่ยทั้งปียังอยู่ในระดับเชื่อมั่นสูงกว่า 50 (ระดับ 52.8) สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่พบว่าดัชนีในอนาคตในเดือนธันวาคมยังอยู่ในระดับเชื่อมั่น 52.0 และเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ระดับ 54.4 ชี้ว่าภาพรวมปี 2562 ผู้บริโภคทั่วไปยังมีความคาดหวังและมีมุมมองเชิงบวกว่าเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มที่ดีระยะต่อไป และเชื่อว่าความผันผวนจากปัจจัยภายนอกน่าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น
ส่วนประเด็นด้านการค้าอื่น ๆ ที่มีผู้แสดงความกังวล เช่น การส่งออก การถูกระงับสิทธิ์จีเอสพี และสงครามการค้านั้น กระทรวงพาณิชย์ได้มีการดูแลอย่างใกล้ชิดและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ระยะเร่งด่วนกระทรวงพาณิชย์เร่งทำยอดส่งออกนำคณะไปขยายตลาดและการจัดกิจกรรมทางการค้าระหว่างประเทศในตลาดศักยภาพ ได้แก่ จีน อินเดีย (มุมไบ/เจนไน) ตุรกี และเยอรมนี โดยมีผลสำเร็จ คือ การลงนาม MOU และการจัดกิจกรรมทางการค้าเมื่อปลายปี 2562 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามและเร่งรัดการส่งมอบเพื่อผลักดันการส่งมอบเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2563 นอกจากนี้ เตรียมแผนผลักดันการส่งออกปี 2563 โดยจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้ารวมกว่า 18 ประเทศ ได้แก่ ตลาดเดิม เช่น จีน ญี่ปุ่น เยอรมนี อังกฤษ สหภาพยุโรป ตลาดใหม่ เช่น อินเดีย ตุรกี ศรีลังกา บังกลาเทศ แอฟริกาใต้ ตลาดฟื้นฟู เช่น ตะวันออกกลาง ตลาดอาเซียน และ CLMV เช่น กัมพูชา สำหรับประเทศใหญ่อย่างจีน และอินเดีย จะต้องเจาะตลาดลึกเป็นรายมณฑลและรายรัฐมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แต่ละตลาดจะมีสินค้าเป้าหมายที่ต่างกัน และจากการวิเคราะห์สถิติสินค้าส่งออกไทย 11 เดือน ของปี 2562 สนค. พบว่าสินค้าสำคัญประมาณร้อยละ 6.2 ของการส่งออกรวม ทั้งกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร (ไก่แปรรูป เครื่องดื่ม) สินค้าอุตสาหกรรม (นาฬิกาและส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์) และสินค้าไลฟ์สไตล์ (เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร เครื่องครัวและของใช้ในบ้านเรือน) จะยังคงขยายตัวต่อเนื่องในปี 2563 ช่วยพยุงการส่งออกภายใต้สถานการณ์การค้าโลกที่ชะลอตัว สามารถต่อยอดผลักดันการส่งออกของไทยได้ ซึ่งขณะนี้ สนค. อยู่ระหว่างการศึกษาตลาดเชิงลึกต่อไป
สำหรับประเด็นที่สหรัฐจะระงับสิทธิ์จีเอสพีสินค้าไทย กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้นิ่งนอนใจและได้มีการหารือและทำงานใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาให้สหรัฐพิจารณาทบทวนการระงับสิทธิ์จีเอสพี นอกจากนี้ ได้แจ้งผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบสถานการณ์ความคืบหน้าเป็นระยะ ตลอดจนร่วมกันประเมินผลกระทบและเตรียมมาตรการรองรับ โดยเฉพาะการหาตลาดใหม่ การใช้ประโยชน์จาก FTA ไทยมีอยู่ และเดินหน้าขยาย FTA กับคู่ค้าสำคัญ
ทั้งนี้ โดยสรุปพื้นฐานการส่งออกไทยที่ดีและมีความหลากลาย มาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลอยู่ระหว่างดำเนินการ ประกอบกับสัญญาณเชิงบวกจากปัจจัยต่างประเทศ อาทิ การลงนามข้อตกลงเฟสแรกระหว่างสหรัฐและจีนวันนี้ (15 ม.ค.) ความชัดเจนของการออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) และจีนถูกถอนจากบัญชีประเทศที่มีการแทรกแซงค่าเงิน และประเทศไทยไม่อยู่ในกลุ่มประเทศที่ถูกจับตา (Watch List) น่าจะเป็นปัจจัยเชิงบวกสนับสนุนให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจปรับตัวดีขึ้นและทำให้มุมมองและความคาดหวังในอนาคตของประชาชนกลับขึ้นมาอยู่ในช่วงเชื่อมั่นได้อีกครั้งในระยะต่อไป.-สำนักข่าวไทย
