กรุงเทพฯ 2 ม.ค.- นโยบายเลิกใช้ถุงหิ้วพลาสติก
กระทบโรงงานผลิตถุงพลาสติกชะลอแผนขยายกำลังการผลิต แนะรัฐบาลทบทวนนโยบายเลิกใช้ถุงหิ้วพลาสติกเพราะเป็นวิถีชีวิตพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยจะกระทบขายสินค้าไม่ได้
นายธีรชัย ธีระรุจินนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอุตสาหกรรมพลาสติก
(1994) จำกัด (มหาชน)
เปิดเผยว่า ตามที่ภาครัฐกำหนดให้กลุ่มห้างสรรพสินค้าและห้างค้าปลีกขนาดใหญ่
เลิกแจกถุงหิ้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ตั้งแต่วันที่ 1
มกราคม2563 นั้น
บริษัทยังไม่ได้รับผลกระทบเพราะจำหน่ายถุงหิ้วพลาสติกไปยังตลาดอีกกลุ่มหนึ่ง คือ
ตลาดสด ตลาดชุมชน และผู้ค้ารายเล็ก ไม่ได้ขายส่งให้ห้างสรรพสินค้า
โรงงานจึงยังเดินเครื่องผลิตคิดเป็นร้อยละ 90
ของกำลังการผลิตทั้งหมดที่มีอยู่ โดยส่วนใหญ่บริษัทผลิตถุงสำหรับบรรจุอาหารร้อน
ส่วนการผลิตถุงหิ้วพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งผลิตไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม นายธีระชัย ยอมรับว่า
ผลจากการออกนโยบายเลิกใช้ถุงพลาสติกของรัฐบาล ส่งผลทำให้เกิดความไม่แน่นอนเกิดขึ้น
ซึ่งเดิมบริษัทมีแผนที่จะขยายการผลิตอีกเท่าตัว
จึงชะลอแผนเอาไว้ก่อนและหันไปเริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่แทน
โดยขณะนี้่บริษัทอยู่ในขั้นตอนของการเตรียมพร้อมที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่คือ
กล่องบรรจุอาหารที่ผลิตจากเยื่อไผ่ ซึ่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
และคาดว่าในอนาคตจะเข้ามามีบทบาททดแทนผลิตภัณฑ์ถุงพลาสติก
นายธีรชัย กล่าวอีกว่า
หากรัฐบาลยังคงเดินหน้าเลิกการใช้ถุงหิ้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งต่อเนื่อง
ยอมรับว่า
กระทบกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่อยู่ในอุตสาหกรรมผลิตถุงหิ้วพลาสติกทั่วประเทศหลายร้อยราย
ที่ขณะนี้ยอดขายลดลงร้อยละ 20-30 จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอยู่แล้ว
การเลิกใช้ถุงหิ้วพลาสติกก็จะมีผลกระทบที่รุนแรงมากขึ้นไปอีก
“ข้อมูลจากผู้ผลิตเม็ดพลาสติกระบุว่า
แต่ละปีการใช้พลาสติกผลิตถุงหูหิ้วประมาณปีละกว่า 200,000
ตัน หากไม่มีการใช้จะกระทบกับผู้ขายสินค้า โดยเฉพาะตลาดกลุ่ม ตลาดสด ตลาดชุมชน
ร้านค้าขนาดเล็กและพ่อค้าแม่ค้ารถเข็น ซี่งยังไม่สามารถประเมินผลกระทบในจุดนี้ได้
ส่วนผู้ผลิตถุงหิ้วพลาสติกบางส่วนพร้อมปรับตัวหันไปผลิตสินค้าอื่น ๆ
ได้ในรายที่มีความพร้อม” นายธีระชัย กล่าว
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอุตสาหกรรมพลาสติก
(1994) เสนอรัฐบาลพิจารณาทบทวนนโยบายเลิกการใช้ถุงหิ้วพลาสติก
โดยหันมาให้ความสำคัญในการจัดการขยะพลาสติกแทนด้วยการจัดให้มีโรงเผาขยะพลาสติกอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการอย่างที่ประเทศสิงคโปร์ทำ
ซึ่งนำเถ้าที่ได้จากการเผาไปใช้ถมทะเล ส่วนการใช้ไบโอพลาสติก
ไม่เหมาะสมเพราะมีราคาสูงกว่าพลาสติกที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน 4 เท่าตัว
และการจะให้ผู้ซื้อสินค้าเป็นผู้จ่ายค่าถุงหิ้วสำหรับใส่สินค้า
หากเป็นกลุ่มตลาดระดับบนที่มีกำลังจ่ายได้ไม่น่าจะมีปัญหา
แต่ถ้าหากเป็นตลาดระดับล่างผู้มีรายได้น้อย อาจจะไม่เหมาะสม
เพราะที่สมควรคือผู้ขายสินค้าเป็นผู้จ่ายค่าถุง-สำนักข่าวไทย