อสมท 18 ก.ย.- รายการพิเศษ “ร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ำท่วม” ยอดบริจาคกว่า 263 ล้าน นายกฯ ยืนยันรัฐบาลจะทำทุกวิถีทางช่วยประชาชนก้าวพ้นวิกฤติ ขณะที่ “บิณฑ์” ย้ำไม่มีเจตนาต่อว่ารัฐบาล และอยากมาร่วมงานด้วยตนเอง ไม่มีสายตรงจากใคร ด้านปลัดคลัง-โฆษกกรมสรรพากร ประสานเสียง “บิณฑ์” ไม่ต้องมีภาระภาษีจากเงินบริจาค ถือเป็นตัวกลางในการทำบุญ ไม่ใช่รายได้
รัฐบาลโดยสำนักนายกรัฐมนตรี อสมท และกรมประชาสัมพันธ์ ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ร่วมจัดรายการพิเศษ “ร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ำท่วม” เมื่อคืนที่ผ่านมา โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี เปิดรับบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย 30 คู่สาย ที่อาคารปฏิบัติการวิทยุโทรทัศน์ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) สมทบเข้า “กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี” บัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาทำเนียบรัฐบาล เลขที่บัญชี 067-0-06895-0 โดยเมื่อวานนี้มียอดเงินบริจาคทั้งสิ้น 263,578,890 บาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และสร้างขวัญกำลังใจให้พี่น้องประชาชนที่กำลังประสบความเดือดร้อน
ในการรับบริจาคครั้งนี้ มีนายกรัฐมนตรี บรรดารัฐมนตรี ศิลปินดารา นักแสดงมาร่วมรับบริจาคผ่านทางโทรศัพท์ รวมถึงนายบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ นักแสดงและอาสาสมัครชื่อดัง ที่ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมแจกจ่ายเงินส่วนตัว และเปิดรับบริจาคจากประชาชนทางเพจเฟซบุ๊ก ได้เดินทางจากอุบลราชธานี บินด่วนมาที่ บมจ.อสมท ร่วมรับโทรศัพท์ด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ได้ระดมสรรพกำลังเพื่อแก้ไขปัญหาและความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเร็วที่สุด โดยตนได้ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในทุกพื้นที่อย่างใกล้ชิด ได้หารือ สั่งการและปรับแผนการรับมือช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดปริมาณน้ำทรงตัวและเริ่มลดปริมาณลงบางพื้นที่ แต่หน่วยงานราชการยังคงเดินหน้าในการช่วยเหลือประชาชนต่อไป จึงขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ จิตอาสา และอาสาสมัคร รวมถึงประชาชนทุกคน รัฐบาลจะทำทุกวิถีทางในการดำเนินการช่วยเหลือประชาชนให้ก้าวพ้นวิกฤติทางธรรมชาติในครั้งนี้ แต่รัฐบาลไม่สามารถทำงานได้เพียงลำพังเพื่อทันต่อความต้องการของประชาชน จึงต้องการความร่วมมือร่วมใจของคนจากทั่วประเทศร่วมกันช่วยเหลือผู้ประสบภัย
ส่วนนายบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ เมื่อเดินทางมาถึง บิณฑ์ เข้าห้องรับรองเพื่อทักทายกับรัฐมนตรีในรัฐบาลอย่างเป็นกันเอง เข้าสวมกอดนายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ก่อนออกมาให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นกระแสข่าวที่ว่า ได้กล่าวเชิงต่อว่ารัฐบาลว่าไม่สนใจช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนนั้น ไม่ได้มีเจตนาจะต่อว่าหรือวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ และที่ผ่านมาก็คอยให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีตลอด แต่ที่โพสต์ไปเพราะอยากถ่ายทอดความทุกข์ยากของประชาชน ส่วนการแจกเงินสดนั้น เพราะจากที่เห็นปัญหาในพื้นที่มาตลอด ทำให้เข้าใจว่าในสถานการณ์วิกฤตินี้ เงินเป็นสิ่งจำเป็นต่อประชาชนที่ประสบภัย และตรงตามความต้องการที่สุด และเมื่อทราบว่ารัฐบาลจัดตั้งศูนย์รับเงินบริจาคขึ้นโดยมีนักแสดงมาร่วมรับสายโทรศัพท์ ก็เดินทางออกจากพื้นที่ประสบภัยมาร่วมงานด้วยตัวเอง
เบื้องต้นขณะนี้แจกจ่ายเงินส่วนตัวให้ผู้ประสบภัยไปแล้วเป็นจำนวน 1.5 ล้านบาท ขณะที่ยอดเงินที่เปิดรับบริจาคนั้นได้มากว่า 300 ล้านบาทแล้ว ซึ่งกำลังพิจารณาว่าจะนำไปช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยให้ทั่วถึงอย่างไร แต่สิ่งที่กังวลและอยากปรึกษาเจ้าหน้าที่ กรมสรรพกรตอนนี้ก็คือ ตัวเองจะต้องแบกรับภาระภาษีหรือไม่ เพราะบัญชีที่เปิดรับเงินบริจาคเป็นบัญชีส่วนตัว
สำหรับประเด็นนี้ นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า บิณฑ์ ไม่ต้องมีภาระภาษีจากเงินบริจาค ให้เทียบเคียงกับการเป็นเจ้าภาพหรือกรรมการกฐิน ผู้ที่เป็นเจ้าภาพหรือคณะกรรมการไม่ต้องเสียภาษี เพราะถือว่าเป็นตัวกลางในการทำบุญ โดยเงินดังกล่าวไม่ถือเป็นรายได้ที่ต้องนำมาคำนวณภาษี
ด้านนายปิ่นสาย สุรัสวดี โฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า กรณีบิณฑ์ นั้นถือเป็นตัวแทน ซึ่งเงินที่บริจาค หากบิณฑ์ ส่งผ่านเงินทั้งหมด คือรับมา 100 บาท นำไปให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม 100 บาท ถือว่าเงินดังกล่าวไม่ใช่รายได้ของบิณฑ์ ที่ต้องนำมาประเมินภาษี เพราะถือว่าประชาชนฝากบิณฑ์ ไปทำบุญ จึงไม่ถือเป็นรายได้ ซึ่งกรมสรรพากรเชื่อว่า บิณฑ์ จะนำเงินดังกล่าวไปให้ผู้ประสบภัยทั้งหมด ดังนั้น คงไม่เรียกมาพบ เพราะในการเสียภาษีนั้นผู้เสียภาษีต้องประเมินตัวเองก่อน ถ้ากรมไม่เชื่อกรมจะเรียกมาพูดคุย แต่กรณีนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร-สำนักข่าวไทย