นิด้าโพล เผยประชาชนร้อยละ 42.40 ระบุนายกฯ ทำงานได้ดีมาก

นิด้าโพลกรุงเทพฯ  21 ส.ค.- นิด้าโพล เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “2 ปี ของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์   จันทร์โอชา” พบ ประชาชนร้อยละ 42.40 ระบุพล.อ.ประยุทธ์ ทำงานในตำแหน่งนายกฯ ได้ดีมาก ร้อยละ 45.20 เห็นว่าทำงานได้ค่อนข่างดี  ในด้านอุดมการณ์ ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 85.84 ระบุ มีอุดมการณ์และความตั้งใจทำงานเพื่อชาติและประชาชน  และ ร้อยละ 85.68 ระบุว่า มีความกล้าตัดสินใจในประเด็นทางการเมืองและการบริหาร  ร้อยละ 79.60 ระบุว่า มีประสิทธิภาพในการทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศ


เนื่องในการทำงานครบรอบ 2 ปี ของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันที่ 25 สิงหาคม 2559 นี้ ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล”   สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “2 ปี ของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์   จันทร์โอชา” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15 – 18 สิงหาคม 2559 จากประชาชนทั่วประเทศ กระจายทุกระดับการศึกษาและอาชีพ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,250 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความพึงพอใจต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา และคณะรัฐมนตรี

จากการสำรวจ เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการดำรงตำแหน่งครบ 2 ปี ของนายกรัฐมนตรี  พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา พบว่า ประชาชน ร้อยละ 42.40 ระบุว่า ทำงานในตำแหน่งนายกฯ ได้ดีมาก  ร้อยละ 45.20 ระบุว่า ทำงานในตำแหน่งนายกฯ   ได้ค่อนข้างดี ขณะที่ ร้อยละ 6.32 ระบุว่า ทำงานในตำแหน่งนายกฯ ได้ไม่ค่อยดี  ร้อยละ 3.52 ระบุว่า ทำงานในตำแหน่งนายกฯ ได้ไม่ดีเลย ร้อยละ 1.28 ระบุ อื่นๆ ได้แก่ ทำงานในตำแหน่งนายกฯ ได้ดีในระดับปานกลาง  และไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ ในสัดส่วนที่เท่ากัน และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในเดือน กุมภาพันธ์ 2559 พบว่า มีสัดส่วนผู้ที่ระบุว่าทำงานได้ดีมาก เพิ่มขึ้น ซึ่งในขณะที่ผู้ที่ระบุว่าทำงานได้ค่อนข้างดี และไม่ค่อยดี จนถึงระดับไม่ดีเลย มีสัดส่วนลดลง


เมื่อถามถึงลักษณะการทำงานในรอบ 2 ปี ของนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในด้านต่าง ๆ พบว่า  ด้านอุดมการณ์ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 85.84 ระบุว่า มีอุดมการณ์และความตั้งใจทำงานเพื่อชาติและประชาชน  รองลงมา ร้อยละ 8.16 ระบุว่า ไม่มีอุดมการณ์ คิดแต่จะทำงานเพื่อรักษาอำนาจของตนเองและ คสช.  ร้อยละ 0.16 ระบุว่า บางเรื่องก็มีอุดมการณ์ แต่ในบางครั้งก็ไม่มีอุดมการณ์  และร้อยละ 5.84 ไม่ระบุ /ไม่แน่ใจ และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในเดือน กุมภาพันธ์ 2559  พบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า มีอุดมการณ์ เพิ่มขึ้น เล็กน้อย ขณะที่สัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า ไม่มีอุดมการณ์ลดลง

ด้านความกล้าตัดสินใจของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 85.68 ระบุว่า มีความกล้าตัดสินใจในประเด็นทางการเมืองและการบริหารที่สำคัญ ขณะที่ ร้อยละ 8.80 ระบุว่า ไม่มีความกล้าตัดสินใจในประเด็นทางการเมืองและการบริหารที่สำคัญ ร้อยละ 0.24 ระบุว่า บางประเด็นมีความกล้าตัดสินใจ และบางประเด็นก็ยังไม่มีความกล้าตัดสินใจ และร้อยละ 5.28 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในเดือน กุมภาพันธ์ 2559  พบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า มีความกล้าตัดสินใจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย    ขณะที่สัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า ไม่มีความกล้าตัดสินใจ ลดลงเล็กน้อย

ด้านบุคลิกภาพผู้นำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 62.80 ระบุว่า มีบุคลิกภาพผู้นำแบบทหาร รองลงมา ร้อยละ 14.40 ระบุว่า มีบุคลิกภาพผู้นำแบบประชาธิปไตย ร้อยละ 18.96 ระบุว่า มีบุคลิกภาพผู้นำแบบก้ำกึ่ง ทั้งผู้นำแบบประชาธิปไตยและผู้นำแบบทหาร ร้อยละ 0.08 ระบุว่า ไม่มีความเป็นผู้นำเลย และร้อยละ 3.76 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในเดือน กุมภาพันธ์ 2559  พบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า มีบุคลิกภาพผู้นำแบบทหารและมีบุคลิกภาพผู้นำแบบประชาธิปไตยต่างมีสัดส่วน ลดลง  ขณะที่สัดส่วนของผู้ที่ระบุว่ามีบุคลิกภาพผู้นำแบบก้ำกึ่ง ทั้งแบบผู้นำประชาธิปไตย และผู้นำแบบทหารกลับมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


ด้านประสิทธิภาพในการทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 79.60 ระบุว่า มีประสิทธิภาพในการทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศ ขณะที่ ร้อยละ 12.64 ระบุว่า  ไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศ ร้อยละ 0.80 ระบุว่า บางอย่างก็มีประสิทธิภาพ บางอย่างก็ยังไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน และร้อยละ 6.96 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในเดือน กุมภาพันธ์ 2559 พบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า มีประสิทธิภาพในการทำงาน เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่สัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า ไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน มีสัดส่วนลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ด้านความโปร่งใส ตรวจสอบได้ในการทำงาน ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 72.88 ระบุว่า การทำงานมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ขณะที่ ร้อยละ 10.40 ระบุว่า การทำงานไม่มีความโปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้  ร้อยละ 0.56 ระบุว่า การทำงานบางอย่างมีความโปร่งใส แต่ไม่สามารถตรวจสอบได้ และร้อยละ 16.16 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในเดือน กุมภาพันธ์ 2559 พบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่ระบุว่าการทำงานมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่การทำงานไม่มีความโปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ มีสัดส่วนลดลง และมีสัดส่วนของผู้ที่ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงความประทับใจในการทำงานของคณะรัฐมนตรี รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา 5 อันดับแรก พบว่า อันดับ 1 ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 46.80 ระบุว่า ประทับใจในการทำงานของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รองลงมา อันดับ 2 ร้อยละ 46.00 ระบุว่าเป็น นางกอบกาญจน์  วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อันดับ 3 ร้อยละ 45.60 ระบุว่า เป็น นายวิษณุ  เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี อันดับ 4 ร้อยละ 45.12 ระบุว่าเป็น นายสมคิด  จาตุศรีพิทักษ์  รองนายกรัฐมนตรี และอันดับ 5 ร้อยละ 44.16 ระบุว่าเป็น พลเอก ไพบูลย์  คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมาพบว่ารัฐมนตรี 4 คนใน 5 อันดับแรกที่ประชาชนมีความประทับใจสูงสุดยังคงเป็นกลุ่มเดิม ยกเว้นพลเอก ไพบูลย์  คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่สามารถเลื่อนจากอันดับ 6 เข้ามาเป็นอันดับที่ 5

ส่วนผลสำรวจคณะรัฐมนตรี รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประชาชนไม่ประทับใจ 5 อันดับแรก พบว่า อันดับ 1 ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 21.04 ระบุว่า ไม่ประทับใจ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองลงมา อันดับ 2  ร้อยละ 20.80 ระบุว่าเป็น นายวิสุทธิ์  ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง อันดับ 3 ร้อยละ 20.72 ระบุว่าเป็น นายอภิศักดิ์         ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และพลเอก ดาว์พงษ์  รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในสัดส่วนที่เท่ากัน  อันดับ 4 ร้อยละ 20.56 ระบุว่าเป็น พลเอก สุรเชษฐ์  ชัยวงศ์  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และอันดับ 5 ร้อยละ 20.48 ระบุว่าเป็น นางอภิรดี  ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ นายสุวิทย์  เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

ด้านคณะรัฐมนตรีรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประชาชนไม่รู้จัก 5 อันดับแรก พบว่า อันดับ 1 ประชาชนส่วนใหญ่  ร้อยละ 15.44 ระบุว่า ไม่รู้จัก พลเอกธนะศักดิ์  ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี  รองลงมา  อันดับ 2 ร้อยละ 15.36  ระบุว่าเป็น พลเรือเอกณรงค์  พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี อันดับ 3 ร้อยละ 14.96  ระบุว่าเป็น นายสุวพันธุ์  ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อันดับ 4 ร้อยละ 13.84  ระบุว่าเป็น พลอากาศเอกประจิน  จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และอันดับ 5 ร้อยละ 13.76 ระบุว่าเป็น นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนางอรรชกา  สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 8.80 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 27.44 มีภูมิลำเนาอยู่ปริมณฑลและภาคกลาง ร้อยละ 18.16 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 31.44 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และร้อยละ 14.16 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ ตัวอย่าง ร้อยละ 55.12 เป็นเพศชาย ร้อยละ 44.80 เป็นเพศหญิง และร้อยละ 0.08 เป็นเพศทางเลือก ตัวอย่าง ร้อยละ 6.80 มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ร้อยละ 16.48 มีอายุ 26 – 35 ปี ร้อยละ 21.12 มีอายุ 36 – 45 ปี ร้อยละ 34.56 มีอายุ 46 – 59 ปี ร้อยละ 17.84 มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และ ร้อยละ 3.20 ไม่ระบุอายุ ตัวอย่าง

ร้อยละ 91.76 ระบุว่า นับถือศาสนาพุทธ  ร้อยละ 3.36 ระบุว่า นับถือศาสนาอิสลาม  ร้อยละ 1.28 ระบุว่า นับถือศาสนาคริสต์ และอื่น ๆ และร้อยละ 3.60 ไม่ระบุศาสนา ตัวอย่าง ร้อยละ 19.84 ระบุว่าสถานภาพโสด ร้อยละ 72.64 สมรสแล้ว ร้อยละ 3.68 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ และร้อยละ 3.84 ไม่ระบุสถานภาพการสมรส ตัวอย่างร้อยละ 26.96 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 29.68 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 6.72 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 27.52 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ร้อยละ 4.72 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.40 ไม่ระบุการศึกษา

ตัวอย่างร้อยละ 10.64 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 12.00 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน  ร้อยละ 23.28 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 16.16 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 15.52 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 15.36 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน ร้อยละ 2.40 เป็นนักเรียน/นักศึกษา และร้อยละ 4.64 ไม่ระบุอาชีพ  ตัวอย่างร้อยละ 15.36 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 20.72 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 24.80 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001 – 20,000 บาท ร้อยละ 12.56 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001 – 30,000 บาท  ร้อยละ 6.32 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001 – 40,000 บาท ร้อยละ 8.72 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนมากกว่า  40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 11.52 ไม่ระบุรายได้.-สำนักข่าวไทย

 

 

 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พระขโมยรถยนต์โยมวันเข้าพรรษา

กาฬสินธุ์ 12 ก.ค.-วงการผ้าเหลืองไม่แผ่ว พระหนุ่มขโมยรถยนต์ญาติโยมที่มาทำบุญวันเข้าพรรษา ถูกตำรวจสกัดจับได้ทันควัน ตำรวจ สภ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ สกัดจับรถเก๋งสีดำคันบริเวณสี่แยกไฟแดง อ.สมเด็จ หลังรับแจ้งว่าพระสงฆ์หนุ่มแอบขโมยรถจากญาติโยมที่มาทำบุญในวันเข้าพรรษา แล้วขับหนีมาทาง อำเภอสมเด็จ ตำรวจจึงออกสกัดจับจนเจอ ส่วนพระสงฆ์ที่ก่อเหตุมีอาการพูดจาวกไปวนมา ตำรวจจึงนำตัวมาสงบสติอารมณ์ที่โรงพัก และแจ้งให้เจ้าของรถมารับรถคืน เตรียมดำเนินคดีกับพระรูปนี้ต่อไป หลังสึกจากการเป็นพระ.-สำนักข่าวไทย

น้ำป่าทะลักท่วมแพร่ บ้านเรือนเสียหายหนัก

แพร่ 12 ก.ค.-ฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ จ.แพร่ น้ำป่าทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรช่วงกลางดึก เสียหาย 2 อำเภอ เกิดเหตุน้ำป่าไหลหลาก เข้าท่วมพื้นที่ชุมชนในตำบลแดนชุมพล จังหวัดแพร่ และอำเภอร้องกวางบางส่วน เนื่องจากมีฝนตกลงมาอย่างหนักในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้บ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียหายในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ลุ่มและแนวทางน้ำธรรมชาติที่รับน้ำจากภูเขาและป่าใกล้เคียง ปริมาณน้ำที่หลากเข้ามาเกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่องตลอดช่วงคืนที่ผ่านมา ทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านไม่ทันตั้งตัว ทรัพย์สินของประชาชนบางส่วนได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะบ้านโทกค่า อำเภอสอง จังหวัดแพร่ หลายหลังคาเรือนได้รับผลกระทบเนื่องจาก ไม่เคยเกิดเหตุแบบนี้มาก่อน ปีนี้น้ำมากกว่าทุกปี ทำให้เก็บข้าวของไม่ทัน ได้รับความเสียหาย ครั้งสุดท้ายที่เคยท่วม ตั้งแต่ปี 2538 .-สำนักข่าวไทย

สองสาวใหญ่ย่องเข้ากุฏิพระอาพาธ ฉกมือถือ

กทม. 12 ก.ค. – สองสาวใหญ่ ย่องเข้ากุฏิพระอาพาธ ฉกโทรศัพท์มือถือลอยนวล พบเคยเข้ามาขอเงินหลวงตาแล้วครั้งหนึ่ง กล้องวงจรปิดบันทึกภาพขณะ ผู้หญิง 2 คนเข้าไปในกุฏิที่พระสงฆ์นอนอาพาธอยู่ คนหนึ่งนั่งพื้นส่วนอีกคนยืนอยู่แล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนเตียงนอนไป เหตุการณ์นี้ นายมนูญ อายุ 29 ปี หลานชายของพระลูกวัดแห่งหนึ่ง ในซอยประชาอุทิศ 27 ถนนประชาอุทิศ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ ร้องเรียนกับผู้สื่อข่าว ให้ช่วยตามหาสองสาวใหญ่ ย่องเข้ากุฏิ “หลวงตาสุข” อายุ 80 ปี ซึ่งป่วยเป็นโรคประจำตัว ประกอบกับอายุมากเดินได้ไม่ปกติ โดยหลวงตาสุข เป็นพระลูกวัด พักอยู่กุฏิด้านหลังโบสถ์ เมื่อวานนี้ (11 ก.ค.) ประมาณ 13.45 น. ขณะกำลังนอนพักผ่อนอยู่ มีหญิงร่างท้วม 2 คนเข้าไปในกุฏิ จากนั้นคนใส่เอี๊ยมสีเขียวผมสั้นลงมือค้นหาสิ่งของบนหัวเตียง ส่วนอีกคนที่มาด้วย คอยดูต้นทาง จนกระทั่งหญิงคนที่รื้อหาสิ่งของมองเห็นโทรศัพท์มือถือ ราคาประมาณ 4,000 บาท ของพระที่วางไว้หัวเตียง […]

มองเป็นการกระทำส่วนบุคคล ปมมีชื่อพระโผล่คลิปสีกา ก.

กรุงเทพฯ 11 ก.ค. – เจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรฯ เผยกรณีปรากฏชื่อ “พระปริยัติธาดา” ในคลิปพัวพันสีกา ก. มองเป็นการกระทำส่วนบุคคล ส่วนตัวอยากเห็นคลิปเพื่อยืนยันว่าท่านเกี่ยวข้องอย่างไร จากกรณีปรากฏรายชื่อพระในคลิปมีความสัมพันธ์กับ “สีกา ก.” จนถึงขั้นปาราชิก หนึ่งในนั้นคือ พระปริยัติธาดา ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร และมีรายงานข่าวว่าท่านหายตัวจากวัดหลังจากตกเป็นข่าว ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังวัดกัลยาณมิตรฯ พบว่าพระของวัดทุกรูปลงโบสถ์เพื่อประกอบศาสนกิจเนื่องในวันเข้าพรรษา ภายในพระอุโบสถ ภายหลังประกอบศาสนกิจลงโบสถ์ของพระวัดกัลยาณมิตรฯ เสร็จสิ้น พระพรหมกวี เจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรฯ ได้ถ่ายรูปกับพระใหม่และพระสงฆ์ในวัด และให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปถ่ายภาพ พร้อมกับพูดคุยเบื้องต้น กรณีปรากฏชื่อของพระปริยัติธาดา เป็นหนึ่งในบุคคลในคลิปที่เกี่ยวข้องกับสีกา ก. ว่าส่วนตัวไม่ทราบ คนเราไม่ได้รู้เรื่องส่วนตัวของคนอื่น มองเป็นเรื่องธรรมชาติในสังคมที่มีทั้งคนดีและไม่ดี เรื่องนี้เป็นการกระทำส่วนบุคคล ส่วนตัวอยากเห็นคลิปเพื่อยืนยันว่าท่านเกี่ยวข้องอย่างไร และอยากถาม พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว เพื่อขอดูคลิปที่กล่าวอ้าง ถ้าภาพมันชัดเจนก็ต้องออกตามกฎ ซึ่งใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น เมื่อถามว่า พระปริยัติธาดา ออกไปจากวัดตั้งแต่เมื่อไร พระพรหมกวี บอกว่า ท่านออกไปจากวัด 6-7 วันแล้ว ก็ออกไปเฉยๆ ไม่ได้สึกออกไป และไม่รู้ว่าตอนนี้สึกหรือยัง แต่หากจะสึกต้องแจ้งมาที่วัด […]

ข่าวแนะนำ

พระปรางค์วัดอรุณ

ข่าวดี “พระปรางค์วัดอรุณฯ” ได้รับบรรจุขึ้นบัญชีรายชื่อเบื้องต้นมรดกโลก

กรุงเทพฯ 13 ก.ค.- “แพทองธาร” เผยข่าวดี “พระปรางค์วัดอรุณฯ” ได้รับบรรจุขึ้นบัญชีรายชื่อเบื้องต้นมรดกโลกของยูเนสโกแล้ว นับเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยที่ได้ร่วมเป็นเจ้าของมรดกทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ระบุว่า “ข่าวดีของคนไทย “พระปรางค์วัดอรุณ ราชวรารามราชวรมหาวิหาร” ได้รับการบรรจุขึ้นบัญชีรายชื่อเบื้องต้นมรดกโลก (Tentative List) ของยูเนสโกแล้วค่ะ ดิฉันได้รับรายงานจากคณะผู้แทนไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ณ กรุงปารีส แจ้งว่า ที่ประชุมได้รับทราบว่าพระปรางค์วัดอรุณฯ เป็นหนึ่งในรายชื่อบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการยกระดับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอย่างสมบูรณ์ในอนาคต กระทรวงวัฒนธรรมมอบหมายให้กรมศิลปากรดำเนินการจัดทำเอกสารเสนอชื่อ (Nomination Dossier) ควบคู่กับการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และจัดการพื้นที่ตามหลักสากล เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ขั้นตอนต่อไป ความคืบหน้านี้เป็นมากกว่าการอนุรักษ์สถานที่ แต่คือการยืนยันอัตลักษณ์ไทยที่งดงามและทรงคุณค่าในสายตาชาวโลก นับเป็นความภาคภูมิใจของคนไทย ที่ได้ร่วมเป็นเจ้าของมรดกทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่นี้” .-316 สำนักข่าวไทย

ตรวจสอบรายรับรายจ่ายวัดใหญ่จอมปราสาท

สมุทรสาคร 13 ก.ค. – เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบรายรับรายจ่ายของวัดใหญ่จอมปราสาท นำมาเทียบกับเส้นเงินของของเจ้าอาวาสที่หนีไป หลังตรวจพบโอนเงินให้สีกา ก. กว่า 1 ล้านบาท ที่วัดใหญ่จอมปราสาท ต.ท่าจีน อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. พร้อมด้วย พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. นำคณะเข้าพบ พระครูสาครสุตกิจ เจ้าคณะตำบลท่าฉลอม เจ้าอาวาสวัดน้อยนางหงษ์ คณะพระสงฆ์ (พระลูกวัด) วัดใหญ่จอมปราสาท ผู้นำชุมชน และคณะกรรมการวัด เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ระบบการเงินในวัดใหญ่จอมปราสาท เพื่อนำไปเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจสอบเส้นทางการเงินของพระมหาทิวากร เจ้าอาวาสวัดใหญ่จอมปราสาท ที่ตรวจพบว่าได้โอนเงินกว่า 1 ล้านบาทไปให้สีกา ก. แต่ยังไม่มีเรื่องชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้อง ประเด็นที่ต้องการทราบเพิ่มเติมคือ เงินที่โอนให้สีกาเป็นเงินส่วนไหน แล้วเงินวัดมีรายรับจากที่ใดบ้าง มีรายจ่ายอย่างไร รวมถึง เงินวัดนั้นเข้าบัญชีใคร มีไวยาวัจกรณ์เบิกจ่ายหรือไม่ หรือใครเป็นผู้ทำหน้าที่รับและเบิกจ่ายเงินทั้งหมด ผู้ใหญ่บ้านชี้แจงว่า ทางวัดยังไม่มีไวยาวัจกรวัดคนใหม่ หลังจากคนเก่าลาออกไปเล่นการเมืองท้องถิ่น ส่วนเงินวัดนั้นเจ้าอาวาสเป็นผู้บริหารแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเงินวัดก็จะมีรายรับมาจากให้ที่จอดเรือบริเวณหน้าวัด ประมาณเดือนละ […]

รถพ่วงเบรกแตกลงเขา ชนแหลก 10 คัน เจ็บ 3

นครราชสีมา 13 ก.ค. – รถพ่วงเบรกแตกลงเขามอกลางดง ชนแหลกรวมสิบคัน บาดเจ็บ 3 คน ทำถนนมิตรภาพรถติดยาวหลายกิโลเมตร คนขับรถพ่วงบาดเจ็บ แต่ยังให้การได้ รถพ่วงบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ ชนแหลกนับ 10 คัน บนถนนมิตรภาพ ขาเข้ากรุงเทพมหานคร ช่วงลงเขามอกลางดง กิโลเมตรที่ 37-38 อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตำรวจ สภ.กลางดง พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยหลายหน่วยระดม เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ และช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ที่เกิดเหตุพบรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์คันต้นเหตุ ยี่ห้อฮีโน่ สีขาว ทะเบียน กรุงเทพมหานคร ด้านหน้าหัวลากพังยับ นายวิทยา อายุ 34 ปี คนขับ ได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้าย ยังนั่งอยู่บริเวณที่นั่งข้างคนขับ โดยเล่าว่า บรรทุกของมาเต็มตู้คอนเทนเนอร์ ช่วงลงเขาเกิดเบรกไม่อยู่ เนื่องจากลมหมด จึงทำให้พุ่งชนท้ายรถพ่วงบรรทุกไม้อีกคันที่อยู่ด้านหน้า จนกระเด็นไปคนละทิศละทาง ไม้กระจายเกลื่อนถนน ด้วยความแรงยังวิ่งไปเฉี่ยวชนกับรถที่วิ่งอยู่ด้านหน้าเสียหายอีก 8 คัน เป็นรถกระบะ 5 คัน, รถเก๋ง […]

มส.มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เรียกพระ 5 รูปแจงด่วน

กรุงเทพฯ 13 ก.ค.-มหาเถรสมาคม ประชุมนัดพิเศษ มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เผยสึกแล้ว 6 คน ยังติดต่อไม่ได้ 2 คน เตรียมแก้กฎมหาเถรสมาคม อ้างสุดล้าหลังกว่า 50 ปี ขณะที่พระเทพพัชราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดชูจิตฯ ชิงลาออกแล้ว นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคมนัดพิเศษ ครั้งที่ 1/2568 ว่า สมเด็จพระสังฆราชห่วงใยต่อกระแสข่าวที่เกิดขึ้น จึงมีพระบัญชาให้มหาเถรสมาคม นิมนต์กรรมการฯประชุมเร่งด่วน ซึ่งทางกรรมการฯ มีข้อห่วงใย และมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยมีมติ ดังนี้ -พระที่ถูกกล่าวหา ต้องอาบัติปราชิก ถือว่าสิ้นสุดความเป็นพระภิกษุทางวินัย และต้องสึกโดยทันที ส่วนพระที่ยังไม่ถึงขั้นปราชิก ก็ให้ปลดออกจากตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกรูป และจะมีมติขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดสมณศักดิ์-ในระยะเร่งด่วน ให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ทุกระดับ ตรวจสอบดูแลและกำกับพฤติกรรมองพระในปกครองอย่างใกล้ชิด หากพบพฤติกรรมละเมิดพระธรรมวินัยให้ดำเนินการสอบสวน และรายงานมหาเถรสมาคมโดยเร็ว-กรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ ให้ออกคำสั่พักการปฏิบัติหน้าที่ และให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฏหมาย พร้อมขอให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนและสาธารณชน เนื่องจากยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา-และทบทวนปรับปรุงกฎระเบียบคณะสงฆ์ว่าด้วยการประทำผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ โดยมหาเถรสมาคม เห็นควรขอประทานพระวินิจฉัยสมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาโปรดให้แต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนาคณะหนึ่ง […]