นิด้าโพล เผยประชาชนร้อยละ 42.40 ระบุนายกฯ ทำงานได้ดีมาก

นิด้าโพลกรุงเทพฯ  21 ส.ค.- นิด้าโพล เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “2 ปี ของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์   จันทร์โอชา” พบ ประชาชนร้อยละ 42.40 ระบุพล.อ.ประยุทธ์ ทำงานในตำแหน่งนายกฯ ได้ดีมาก ร้อยละ 45.20 เห็นว่าทำงานได้ค่อนข่างดี  ในด้านอุดมการณ์ ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 85.84 ระบุ มีอุดมการณ์และความตั้งใจทำงานเพื่อชาติและประชาชน  และ ร้อยละ 85.68 ระบุว่า มีความกล้าตัดสินใจในประเด็นทางการเมืองและการบริหาร  ร้อยละ 79.60 ระบุว่า มีประสิทธิภาพในการทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศ


เนื่องในการทำงานครบรอบ 2 ปี ของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันที่ 25 สิงหาคม 2559 นี้ ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล”   สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “2 ปี ของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์   จันทร์โอชา” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15 – 18 สิงหาคม 2559 จากประชาชนทั่วประเทศ กระจายทุกระดับการศึกษาและอาชีพ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,250 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความพึงพอใจต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา และคณะรัฐมนตรี

จากการสำรวจ เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการดำรงตำแหน่งครบ 2 ปี ของนายกรัฐมนตรี  พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา พบว่า ประชาชน ร้อยละ 42.40 ระบุว่า ทำงานในตำแหน่งนายกฯ ได้ดีมาก  ร้อยละ 45.20 ระบุว่า ทำงานในตำแหน่งนายกฯ   ได้ค่อนข้างดี ขณะที่ ร้อยละ 6.32 ระบุว่า ทำงานในตำแหน่งนายกฯ ได้ไม่ค่อยดี  ร้อยละ 3.52 ระบุว่า ทำงานในตำแหน่งนายกฯ ได้ไม่ดีเลย ร้อยละ 1.28 ระบุ อื่นๆ ได้แก่ ทำงานในตำแหน่งนายกฯ ได้ดีในระดับปานกลาง  และไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ ในสัดส่วนที่เท่ากัน และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในเดือน กุมภาพันธ์ 2559 พบว่า มีสัดส่วนผู้ที่ระบุว่าทำงานได้ดีมาก เพิ่มขึ้น ซึ่งในขณะที่ผู้ที่ระบุว่าทำงานได้ค่อนข้างดี และไม่ค่อยดี จนถึงระดับไม่ดีเลย มีสัดส่วนลดลง


เมื่อถามถึงลักษณะการทำงานในรอบ 2 ปี ของนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในด้านต่าง ๆ พบว่า  ด้านอุดมการณ์ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 85.84 ระบุว่า มีอุดมการณ์และความตั้งใจทำงานเพื่อชาติและประชาชน  รองลงมา ร้อยละ 8.16 ระบุว่า ไม่มีอุดมการณ์ คิดแต่จะทำงานเพื่อรักษาอำนาจของตนเองและ คสช.  ร้อยละ 0.16 ระบุว่า บางเรื่องก็มีอุดมการณ์ แต่ในบางครั้งก็ไม่มีอุดมการณ์  และร้อยละ 5.84 ไม่ระบุ /ไม่แน่ใจ และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในเดือน กุมภาพันธ์ 2559  พบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า มีอุดมการณ์ เพิ่มขึ้น เล็กน้อย ขณะที่สัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า ไม่มีอุดมการณ์ลดลง

ด้านความกล้าตัดสินใจของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 85.68 ระบุว่า มีความกล้าตัดสินใจในประเด็นทางการเมืองและการบริหารที่สำคัญ ขณะที่ ร้อยละ 8.80 ระบุว่า ไม่มีความกล้าตัดสินใจในประเด็นทางการเมืองและการบริหารที่สำคัญ ร้อยละ 0.24 ระบุว่า บางประเด็นมีความกล้าตัดสินใจ และบางประเด็นก็ยังไม่มีความกล้าตัดสินใจ และร้อยละ 5.28 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในเดือน กุมภาพันธ์ 2559  พบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า มีความกล้าตัดสินใจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย    ขณะที่สัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า ไม่มีความกล้าตัดสินใจ ลดลงเล็กน้อย

ด้านบุคลิกภาพผู้นำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 62.80 ระบุว่า มีบุคลิกภาพผู้นำแบบทหาร รองลงมา ร้อยละ 14.40 ระบุว่า มีบุคลิกภาพผู้นำแบบประชาธิปไตย ร้อยละ 18.96 ระบุว่า มีบุคลิกภาพผู้นำแบบก้ำกึ่ง ทั้งผู้นำแบบประชาธิปไตยและผู้นำแบบทหาร ร้อยละ 0.08 ระบุว่า ไม่มีความเป็นผู้นำเลย และร้อยละ 3.76 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในเดือน กุมภาพันธ์ 2559  พบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า มีบุคลิกภาพผู้นำแบบทหารและมีบุคลิกภาพผู้นำแบบประชาธิปไตยต่างมีสัดส่วน ลดลง  ขณะที่สัดส่วนของผู้ที่ระบุว่ามีบุคลิกภาพผู้นำแบบก้ำกึ่ง ทั้งแบบผู้นำประชาธิปไตย และผู้นำแบบทหารกลับมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


ด้านประสิทธิภาพในการทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 79.60 ระบุว่า มีประสิทธิภาพในการทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศ ขณะที่ ร้อยละ 12.64 ระบุว่า  ไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศ ร้อยละ 0.80 ระบุว่า บางอย่างก็มีประสิทธิภาพ บางอย่างก็ยังไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน และร้อยละ 6.96 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในเดือน กุมภาพันธ์ 2559 พบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า มีประสิทธิภาพในการทำงาน เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่สัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า ไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน มีสัดส่วนลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ด้านความโปร่งใส ตรวจสอบได้ในการทำงาน ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 72.88 ระบุว่า การทำงานมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ขณะที่ ร้อยละ 10.40 ระบุว่า การทำงานไม่มีความโปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้  ร้อยละ 0.56 ระบุว่า การทำงานบางอย่างมีความโปร่งใส แต่ไม่สามารถตรวจสอบได้ และร้อยละ 16.16 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในเดือน กุมภาพันธ์ 2559 พบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่ระบุว่าการทำงานมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่การทำงานไม่มีความโปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ มีสัดส่วนลดลง และมีสัดส่วนของผู้ที่ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงความประทับใจในการทำงานของคณะรัฐมนตรี รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา 5 อันดับแรก พบว่า อันดับ 1 ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 46.80 ระบุว่า ประทับใจในการทำงานของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รองลงมา อันดับ 2 ร้อยละ 46.00 ระบุว่าเป็น นางกอบกาญจน์  วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อันดับ 3 ร้อยละ 45.60 ระบุว่า เป็น นายวิษณุ  เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี อันดับ 4 ร้อยละ 45.12 ระบุว่าเป็น นายสมคิด  จาตุศรีพิทักษ์  รองนายกรัฐมนตรี และอันดับ 5 ร้อยละ 44.16 ระบุว่าเป็น พลเอก ไพบูลย์  คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมาพบว่ารัฐมนตรี 4 คนใน 5 อันดับแรกที่ประชาชนมีความประทับใจสูงสุดยังคงเป็นกลุ่มเดิม ยกเว้นพลเอก ไพบูลย์  คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่สามารถเลื่อนจากอันดับ 6 เข้ามาเป็นอันดับที่ 5

ส่วนผลสำรวจคณะรัฐมนตรี รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประชาชนไม่ประทับใจ 5 อันดับแรก พบว่า อันดับ 1 ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 21.04 ระบุว่า ไม่ประทับใจ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองลงมา อันดับ 2  ร้อยละ 20.80 ระบุว่าเป็น นายวิสุทธิ์  ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง อันดับ 3 ร้อยละ 20.72 ระบุว่าเป็น นายอภิศักดิ์         ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และพลเอก ดาว์พงษ์  รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในสัดส่วนที่เท่ากัน  อันดับ 4 ร้อยละ 20.56 ระบุว่าเป็น พลเอก สุรเชษฐ์  ชัยวงศ์  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และอันดับ 5 ร้อยละ 20.48 ระบุว่าเป็น นางอภิรดี  ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ นายสุวิทย์  เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

ด้านคณะรัฐมนตรีรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประชาชนไม่รู้จัก 5 อันดับแรก พบว่า อันดับ 1 ประชาชนส่วนใหญ่  ร้อยละ 15.44 ระบุว่า ไม่รู้จัก พลเอกธนะศักดิ์  ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี  รองลงมา  อันดับ 2 ร้อยละ 15.36  ระบุว่าเป็น พลเรือเอกณรงค์  พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี อันดับ 3 ร้อยละ 14.96  ระบุว่าเป็น นายสุวพันธุ์  ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อันดับ 4 ร้อยละ 13.84  ระบุว่าเป็น พลอากาศเอกประจิน  จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และอันดับ 5 ร้อยละ 13.76 ระบุว่าเป็น นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนางอรรชกา  สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 8.80 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 27.44 มีภูมิลำเนาอยู่ปริมณฑลและภาคกลาง ร้อยละ 18.16 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 31.44 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และร้อยละ 14.16 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ ตัวอย่าง ร้อยละ 55.12 เป็นเพศชาย ร้อยละ 44.80 เป็นเพศหญิง และร้อยละ 0.08 เป็นเพศทางเลือก ตัวอย่าง ร้อยละ 6.80 มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ร้อยละ 16.48 มีอายุ 26 – 35 ปี ร้อยละ 21.12 มีอายุ 36 – 45 ปี ร้อยละ 34.56 มีอายุ 46 – 59 ปี ร้อยละ 17.84 มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และ ร้อยละ 3.20 ไม่ระบุอายุ ตัวอย่าง

ร้อยละ 91.76 ระบุว่า นับถือศาสนาพุทธ  ร้อยละ 3.36 ระบุว่า นับถือศาสนาอิสลาม  ร้อยละ 1.28 ระบุว่า นับถือศาสนาคริสต์ และอื่น ๆ และร้อยละ 3.60 ไม่ระบุศาสนา ตัวอย่าง ร้อยละ 19.84 ระบุว่าสถานภาพโสด ร้อยละ 72.64 สมรสแล้ว ร้อยละ 3.68 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ และร้อยละ 3.84 ไม่ระบุสถานภาพการสมรส ตัวอย่างร้อยละ 26.96 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 29.68 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 6.72 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 27.52 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ร้อยละ 4.72 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.40 ไม่ระบุการศึกษา

ตัวอย่างร้อยละ 10.64 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 12.00 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน  ร้อยละ 23.28 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 16.16 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 15.52 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 15.36 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน ร้อยละ 2.40 เป็นนักเรียน/นักศึกษา และร้อยละ 4.64 ไม่ระบุอาชีพ  ตัวอย่างร้อยละ 15.36 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 20.72 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 24.80 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001 – 20,000 บาท ร้อยละ 12.56 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001 – 30,000 บาท  ร้อยละ 6.32 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001 – 40,000 บาท ร้อยละ 8.72 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนมากกว่า  40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 11.52 ไม่ระบุรายได้.-สำนักข่าวไทย

 

 

 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]