นิด้าโพล เผยประชาชนร้อยละ 42.40 ระบุนายกฯ ทำงานได้ดีมาก

นิด้าโพลกรุงเทพฯ  21 ส.ค.- นิด้าโพล เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “2 ปี ของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์   จันทร์โอชา” พบ ประชาชนร้อยละ 42.40 ระบุพล.อ.ประยุทธ์ ทำงานในตำแหน่งนายกฯ ได้ดีมาก ร้อยละ 45.20 เห็นว่าทำงานได้ค่อนข่างดี  ในด้านอุดมการณ์ ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 85.84 ระบุ มีอุดมการณ์และความตั้งใจทำงานเพื่อชาติและประชาชน  และ ร้อยละ 85.68 ระบุว่า มีความกล้าตัดสินใจในประเด็นทางการเมืองและการบริหาร  ร้อยละ 79.60 ระบุว่า มีประสิทธิภาพในการทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศ


เนื่องในการทำงานครบรอบ 2 ปี ของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันที่ 25 สิงหาคม 2559 นี้ ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล”   สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “2 ปี ของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์   จันทร์โอชา” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15 – 18 สิงหาคม 2559 จากประชาชนทั่วประเทศ กระจายทุกระดับการศึกษาและอาชีพ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,250 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความพึงพอใจต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา และคณะรัฐมนตรี

จากการสำรวจ เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการดำรงตำแหน่งครบ 2 ปี ของนายกรัฐมนตรี  พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา พบว่า ประชาชน ร้อยละ 42.40 ระบุว่า ทำงานในตำแหน่งนายกฯ ได้ดีมาก  ร้อยละ 45.20 ระบุว่า ทำงานในตำแหน่งนายกฯ   ได้ค่อนข้างดี ขณะที่ ร้อยละ 6.32 ระบุว่า ทำงานในตำแหน่งนายกฯ ได้ไม่ค่อยดี  ร้อยละ 3.52 ระบุว่า ทำงานในตำแหน่งนายกฯ ได้ไม่ดีเลย ร้อยละ 1.28 ระบุ อื่นๆ ได้แก่ ทำงานในตำแหน่งนายกฯ ได้ดีในระดับปานกลาง  และไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ ในสัดส่วนที่เท่ากัน และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในเดือน กุมภาพันธ์ 2559 พบว่า มีสัดส่วนผู้ที่ระบุว่าทำงานได้ดีมาก เพิ่มขึ้น ซึ่งในขณะที่ผู้ที่ระบุว่าทำงานได้ค่อนข้างดี และไม่ค่อยดี จนถึงระดับไม่ดีเลย มีสัดส่วนลดลง


เมื่อถามถึงลักษณะการทำงานในรอบ 2 ปี ของนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในด้านต่าง ๆ พบว่า  ด้านอุดมการณ์ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 85.84 ระบุว่า มีอุดมการณ์และความตั้งใจทำงานเพื่อชาติและประชาชน  รองลงมา ร้อยละ 8.16 ระบุว่า ไม่มีอุดมการณ์ คิดแต่จะทำงานเพื่อรักษาอำนาจของตนเองและ คสช.  ร้อยละ 0.16 ระบุว่า บางเรื่องก็มีอุดมการณ์ แต่ในบางครั้งก็ไม่มีอุดมการณ์  และร้อยละ 5.84 ไม่ระบุ /ไม่แน่ใจ และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในเดือน กุมภาพันธ์ 2559  พบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า มีอุดมการณ์ เพิ่มขึ้น เล็กน้อย ขณะที่สัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า ไม่มีอุดมการณ์ลดลง

ด้านความกล้าตัดสินใจของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 85.68 ระบุว่า มีความกล้าตัดสินใจในประเด็นทางการเมืองและการบริหารที่สำคัญ ขณะที่ ร้อยละ 8.80 ระบุว่า ไม่มีความกล้าตัดสินใจในประเด็นทางการเมืองและการบริหารที่สำคัญ ร้อยละ 0.24 ระบุว่า บางประเด็นมีความกล้าตัดสินใจ และบางประเด็นก็ยังไม่มีความกล้าตัดสินใจ และร้อยละ 5.28 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในเดือน กุมภาพันธ์ 2559  พบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า มีความกล้าตัดสินใจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย    ขณะที่สัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า ไม่มีความกล้าตัดสินใจ ลดลงเล็กน้อย

ด้านบุคลิกภาพผู้นำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 62.80 ระบุว่า มีบุคลิกภาพผู้นำแบบทหาร รองลงมา ร้อยละ 14.40 ระบุว่า มีบุคลิกภาพผู้นำแบบประชาธิปไตย ร้อยละ 18.96 ระบุว่า มีบุคลิกภาพผู้นำแบบก้ำกึ่ง ทั้งผู้นำแบบประชาธิปไตยและผู้นำแบบทหาร ร้อยละ 0.08 ระบุว่า ไม่มีความเป็นผู้นำเลย และร้อยละ 3.76 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในเดือน กุมภาพันธ์ 2559  พบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า มีบุคลิกภาพผู้นำแบบทหารและมีบุคลิกภาพผู้นำแบบประชาธิปไตยต่างมีสัดส่วน ลดลง  ขณะที่สัดส่วนของผู้ที่ระบุว่ามีบุคลิกภาพผู้นำแบบก้ำกึ่ง ทั้งแบบผู้นำประชาธิปไตย และผู้นำแบบทหารกลับมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


ด้านประสิทธิภาพในการทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 79.60 ระบุว่า มีประสิทธิภาพในการทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศ ขณะที่ ร้อยละ 12.64 ระบุว่า  ไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศ ร้อยละ 0.80 ระบุว่า บางอย่างก็มีประสิทธิภาพ บางอย่างก็ยังไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน และร้อยละ 6.96 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในเดือน กุมภาพันธ์ 2559 พบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า มีประสิทธิภาพในการทำงาน เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่สัดส่วนของผู้ที่ระบุว่า ไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน มีสัดส่วนลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ด้านความโปร่งใส ตรวจสอบได้ในการทำงาน ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 72.88 ระบุว่า การทำงานมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ขณะที่ ร้อยละ 10.40 ระบุว่า การทำงานไม่มีความโปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้  ร้อยละ 0.56 ระบุว่า การทำงานบางอย่างมีความโปร่งใส แต่ไม่สามารถตรวจสอบได้ และร้อยละ 16.16 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในเดือน กุมภาพันธ์ 2559 พบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่ระบุว่าการทำงานมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่การทำงานไม่มีความโปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ มีสัดส่วนลดลง และมีสัดส่วนของผู้ที่ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงความประทับใจในการทำงานของคณะรัฐมนตรี รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา 5 อันดับแรก พบว่า อันดับ 1 ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 46.80 ระบุว่า ประทับใจในการทำงานของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รองลงมา อันดับ 2 ร้อยละ 46.00 ระบุว่าเป็น นางกอบกาญจน์  วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อันดับ 3 ร้อยละ 45.60 ระบุว่า เป็น นายวิษณุ  เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี อันดับ 4 ร้อยละ 45.12 ระบุว่าเป็น นายสมคิด  จาตุศรีพิทักษ์  รองนายกรัฐมนตรี และอันดับ 5 ร้อยละ 44.16 ระบุว่าเป็น พลเอก ไพบูลย์  คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมาพบว่ารัฐมนตรี 4 คนใน 5 อันดับแรกที่ประชาชนมีความประทับใจสูงสุดยังคงเป็นกลุ่มเดิม ยกเว้นพลเอก ไพบูลย์  คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่สามารถเลื่อนจากอันดับ 6 เข้ามาเป็นอันดับที่ 5

ส่วนผลสำรวจคณะรัฐมนตรี รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประชาชนไม่ประทับใจ 5 อันดับแรก พบว่า อันดับ 1 ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 21.04 ระบุว่า ไม่ประทับใจ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองลงมา อันดับ 2  ร้อยละ 20.80 ระบุว่าเป็น นายวิสุทธิ์  ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง อันดับ 3 ร้อยละ 20.72 ระบุว่าเป็น นายอภิศักดิ์         ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และพลเอก ดาว์พงษ์  รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในสัดส่วนที่เท่ากัน  อันดับ 4 ร้อยละ 20.56 ระบุว่าเป็น พลเอก สุรเชษฐ์  ชัยวงศ์  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และอันดับ 5 ร้อยละ 20.48 ระบุว่าเป็น นางอภิรดี  ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ นายสุวิทย์  เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

ด้านคณะรัฐมนตรีรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประชาชนไม่รู้จัก 5 อันดับแรก พบว่า อันดับ 1 ประชาชนส่วนใหญ่  ร้อยละ 15.44 ระบุว่า ไม่รู้จัก พลเอกธนะศักดิ์  ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี  รองลงมา  อันดับ 2 ร้อยละ 15.36  ระบุว่าเป็น พลเรือเอกณรงค์  พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี อันดับ 3 ร้อยละ 14.96  ระบุว่าเป็น นายสุวพันธุ์  ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อันดับ 4 ร้อยละ 13.84  ระบุว่าเป็น พลอากาศเอกประจิน  จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และอันดับ 5 ร้อยละ 13.76 ระบุว่าเป็น นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนางอรรชกา  สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 8.80 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 27.44 มีภูมิลำเนาอยู่ปริมณฑลและภาคกลาง ร้อยละ 18.16 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 31.44 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และร้อยละ 14.16 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ ตัวอย่าง ร้อยละ 55.12 เป็นเพศชาย ร้อยละ 44.80 เป็นเพศหญิง และร้อยละ 0.08 เป็นเพศทางเลือก ตัวอย่าง ร้อยละ 6.80 มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ร้อยละ 16.48 มีอายุ 26 – 35 ปี ร้อยละ 21.12 มีอายุ 36 – 45 ปี ร้อยละ 34.56 มีอายุ 46 – 59 ปี ร้อยละ 17.84 มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และ ร้อยละ 3.20 ไม่ระบุอายุ ตัวอย่าง

ร้อยละ 91.76 ระบุว่า นับถือศาสนาพุทธ  ร้อยละ 3.36 ระบุว่า นับถือศาสนาอิสลาม  ร้อยละ 1.28 ระบุว่า นับถือศาสนาคริสต์ และอื่น ๆ และร้อยละ 3.60 ไม่ระบุศาสนา ตัวอย่าง ร้อยละ 19.84 ระบุว่าสถานภาพโสด ร้อยละ 72.64 สมรสแล้ว ร้อยละ 3.68 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ และร้อยละ 3.84 ไม่ระบุสถานภาพการสมรส ตัวอย่างร้อยละ 26.96 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 29.68 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 6.72 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 27.52 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ร้อยละ 4.72 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.40 ไม่ระบุการศึกษา

ตัวอย่างร้อยละ 10.64 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 12.00 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน  ร้อยละ 23.28 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 16.16 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 15.52 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 15.36 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน ร้อยละ 2.40 เป็นนักเรียน/นักศึกษา และร้อยละ 4.64 ไม่ระบุอาชีพ  ตัวอย่างร้อยละ 15.36 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 20.72 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 24.80 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001 – 20,000 บาท ร้อยละ 12.56 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001 – 30,000 บาท  ร้อยละ 6.32 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001 – 40,000 บาท ร้อยละ 8.72 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนมากกว่า  40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 11.52 ไม่ระบุรายได้.-สำนักข่าวไทย

 

 

 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

Cambodia PM Hun Manet in military uniform

กัมพูชาเสนอศาลโลกตัดสินดินแดนพิพาทกับไทย

พนมเปญ 2 มิ.ย.- ผู้นำกัมพูชาเสนอให้นำข้อพิพาททางดินแดนกับไทยให้ศาลโลกตัดสิน และได้สั่งการให้เจบีซีเร่งจัดการหารือกับไทยเรื่องปักปันเขตแดน ด้านกระทรวงต่างประเทศกัมพูชาได้ยื่นหนังสือประท้วงไทยเรื่องเหตุปะทะที่มีทหารกัมพูชาเสียชีวิต เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ขแมร์ไทมส์ของกัมพูชารายงานวันนี้ว่า นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนตได้โพสต์ถ้อยแถลงในสื่อสังคมออนไลน์เมื่อเย็นวันอาทิตย์ว่า เขาได้ตัดสินใจตามที่รับฟังรายงานสรุปจากนายทหารที่ประจำการตามแนวชายแดนไทย หลังจากที่เขากลับจากการปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ โดยได้สั่งการให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทยหรือเจบีซี (JBC) เร่งจัดการประชุมกับฝ่ายไทยเพื่อเดินหน้าการสำรวจและปักปันเขตแดนระหว่าง 2 ประเทศ ถ้อยแถลงระบุด้วยว่า กัมพูชากำลังเตรียมบรรจุประเด็นใหม่ไว้ในวาระการประชุมเจบีซี คือ การเสนอให้นำข้อพิพาทยาวนานเรื่องปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาเมือนควาย และพื้นที่มอมเบ เข้าสู่การตัดสินชี้ขาดของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกที่กรุงเฮกในเนเธอร์แลนด์ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเตือนว่า การยั่วยุเมื่อไม่นานมานี้ของกลุ่มสุดโต่งเล็ก ๆ ได้จุดชนวนความตึงเครียดและโหมกระพือกระแสรักชาติขึ้นใน 2 ประเทศ เขาหวังว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะสามารถทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุทางออกสุดท้ายให้แก่พื้นที่พิพาทอ่อนไหวเหล่านี้ กัมพูชายังคงมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาชายแดนด้วยกลไกทางเทคนิคและหลักการทางกฎหมาย แต่ก็สงวนสิทธิที่จะปกป้องบูรณภาพทางดินแดนด้วยทุกวิถีทาง รวมถึงการใช้อาวุธ หากมีความพยายามใช้กำลังทหารรุกรานดินแดนของกัมพูชา ด้านกระทรวงกิจการต่างประเทศและความร่วมมือสากลของกัมพูชาได้ยื่นหนังสือทางการทูตประท้วงไทย ซึ่งมีการเปิดเผยเนื้อหาเมื่อเย็นวันอาทิตย์ว่า กองทัพไทยเปิดฉากยิงทั้งที่ไม่มีการยั่วยุจากที่ตั้งทางทหารของกัมพูชาในหมู่บ้านเตโชมรกต อำเภอจอมกระสานต์ จังหวัดพระวิหารเมื่อราวเวลา 05.30 น.วันที่ 28 มีนาคม ส่งผลให้ทหารกัมพูชาถูกสังหารอย่างไม่เป็นธรรม 1 นาย และเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพทางดินแดนของกัมพูชา กระทรวงต่างประเทศของกัมพูชาขอประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำดังกล่าวว่า ผิดกฎหมาย รัฐบาลกัมพูชาเรียกร้องให้สอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยทันทีและถี่ถ้วน และต้องนำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษ.-814.-สำนักข่าวไทย

นายกฯ กัมพูชา สั่งระดมทหารประชิดชายแดนไทย

1 มิ.ย. – ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา สั่งระดมกำลังทหารประชิดชายแเดนไทย ขณะเดินทางเยือนญี่ปุ่น พร้อมติดตามสถานการณ์บริเวณชายแดนติดกับไทยอย่างใกล้ชิด หนังสือพิมพ์ขะแมร์ ไทมส์ รายงานว่า ฌอง-ฟรองซัว ตัน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ให้สัมภาษณ์สื่อในประเทศ ระบุว่านับตั้งแต่เกิดเหตุความขัดแย้งตามมแนวชายแดนระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทย นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ซึ่งอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจเยือนญี่ปุ่น ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จนกระทั่งเดินทางกลับมายังกัมพูชา เมื่อคืนที่ผ่านมา และได้สั่งการด้วยตัวเองให้ระดมกำลังทหารเพิ่มเติมเข้าประชิดชายแดนด้านที่ติดกับไทย เพื่อปกป้องอธิปไตยและพรมแดนกัมพูชา พร้อมกับยืนยันว่าสถานการณ์บริเวณชายแดนด้านที่ติดกับไทย กลับมาสงบเรียบร้อยตามปกติแล้ว นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ยังได้ติดต่อและสั่งการตามสายงานลงไปยังรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และเสนาธิการกองทัพบก ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และแจ้งความคืบหน้าให้ทราบอย่างต่อเนื่อง หลังเกิดการปะทะกันครั้งล่าสุดระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทย พร้อมกับเรียกร้องประชาชนชาวกัมพูชาเชื่อมั่นการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพและรัฐบาลกัมพูชา ในการปกป้องดินแดน และหาหนทางแก้ไขความขัดแย้งบริเวณชายแดนติดกับไทย โดยยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ และหลังจากนี้ คณะกรรมการพรมแดนของกัมพูชา มีกำหนดพบหารือในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับรายละเอียดข้อขัดแย้ง และนำเสนอเพื่อเข้าสู่การเจรจาต่อไป.-สำนักข่าวไทย

“โอปอล สุชาตา” คว้ามงกุฎ Miss World 2025

อินเดีย 1 มิ.ย.-“โอปอล สุชาตา” สาวงามตัวแทนจากไทย สร้างประวัติศาสตร์สามารถคว้ามงกุฎ Miss World 2025 มาครองได้สำเร็จ เวทีการประกวด Miss World 2025 ครั้งที่ 72 ณ HITEX Convention Center เมืองไฮเดอราบัด รัฐเตลังคานา ประเทศอินเดีย โดย “โอปอล สุชาตา ช่วงศรี” สาวงามตัวแทนจากประเทศไทย สร้างประวัติศาสตร์สามารถคว้ามงกุฎมิสเวิลด์มาครองได้สำเร็จ โดยการประกวดในปีนี้มีนางงามจาก 108 ประเทศทั่วโลก เข้าร่วม ทั้งนี้ในรอบ 8 คนสุดท้าย มีนางงามที่ผ่านเข้ารอบได้แก่ บราซิล มาร์ตินีก เอธิโอเปีย นามิเบีย โปแลนด์ ยูเครน ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย ซึ่งจนกระทั่ง รอบ 4 คนสุดสุดท้าย มาร์ตีนิก เอธิโอเปีย และ โปแลนด์ ทั้ง 4 […]

ข่าวแนะนำ

“ภูมิธรรม” ปัดขัดแย้งกองทัพ ปมปิดด่าน

2 มิ.ย. – “ภูมิธรรม” ปัดขัดแย้งกองทัพ ปมปิดด่าน ลั่นมีเอกภาพ แจงรัฐบาลเชื่อมั่นท่าที 2 ประเทศลดความรุนแรงได้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม โพสต์ข้อความชี้แจงทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่าเรียน สื่อมวลชน ทุกท่าน ตามที่มีข่าวกระจายกันในแวดวงสื่อสังคมออนไลน์ เรื่องความขัดแย้งระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายทหาร ในการจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดต่อปัญหาการจัดการระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการปิดด่านชายแดน ผมขอยืนยันว่า ผมกับกองทัพได้หารือร่วมกันหลายครั้ง และเห็นตรงกันว่าสถานการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลทั้งสองประเทศต่างพยายามหาทางออกในการคลี่คลายวิกฤติ โดยยึดผลประโยชน์ประชาชนและอธิปไตยของชาติเป็นสำคัญ เราจึงกำหนดขอบเขตในการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า และพยายามลดเงื่อนไขที่จะระงับยับยั้งมิให้เหตุการณ์ความขัดแย้งขยายตัวมากไปกว่านี้ สำหรับเรื่องการปิดชายแดนขณะนี้ รัฐบาลเห็นว่าท่าทีและการแสดงออกของทั้งสองประเทศ ยังเป็นการแสดงออกที่สามารถลดระดับความรุนแรงได้ เพราะการปิดด่านชายแดนแม้ไม่ใช่เรื่องการสู้รบทางตรง แต่กลับจะเกิดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ที่จะกระทบกับวิถีชีวิตประชาชน ทำให้สถานการณ์ยากต่อการคลี่คลาย แต่ขณะเดียวกัน กองทัพก็ตั้งอยู่ในความระมัดระวังและไม่ได้ละเลยในการปกป้องตนเองและอธิปไตยเหนือดินแดน ขณะนี้รัฐบาล ร่วมกับกำลังเหล่าทัพและกระทรวงต่างประเทศ กำลังใช้กลไก JBC เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาตามขั้นตอนอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดเวทีถกเถียงตามข้อเท็จจริงตามกฎหมาย ผมจึงขอเรียนชี้แจงยืนยันว่า รัฐบาลและกองทัพมีความเป็นเอกภาพ และมีพันธะสัญญาที่มั่นคงในการรักษาความสงบสุขให้ประชาชนได้รับประโยชน์ และความปลอดภัยมากที่สุด ขอให้มั่นใจว่าเราจะหลีกเลี่ยงการยกระดับความขัดแย้งที่จะนำไปสู่ความสูญเสียทั้งสองฝ่ายในทุกด้าน ที่ผ่านมา เราร่วมกันใช้ความพยายามอย่างยิ่ง ทั้งการประชุม หารือ […]

แผ่นดินไหวเชียงใหม่ ขนาด 4.5 รอยเลื่อนแม่ทาขยับ

เชียงใหม่ 2 มิ.ย.- ระทึก! แผ่นดินไหว ต.แม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ขนาด 4.5 ลึก 1 กม. ประชาชนแจ้งรู้สึกสั่นไหว 4 จังหวัด สาเหตุเกิดจากกลุ่มรอยเลื่อนแม่ทา ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง แผ่นดินไหวที่ ต.แม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ฉบับที่ 1/2568 กอง​เฝ้า​ระวัง​แผ่นดินไหว​ กรม​อุตุนิยม​วิทยา​รายงาน​ว่า​ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2568 เวลา 14.07 น. เกิดแผ่นดินไหว จุดศูนย์กลางอยู่บริเวณ ต.แม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ขนาด 4.5 ความลึก 1 กิโลเมตร ได้รับแจ้งรู้สึกสั่นไหวบริเวณ จังหวัดเชียงใหม่ พะเยา ลำปาง และแม่ฮ่องสอน โดยสาเหตุเกิดจากกลุ่มรอยเลื่อนแม่ทา ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ สั่งการอำเภอพร้าว และอำเภอใกล้เคียง ลงพื้นที่ตรวจสอบผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือน เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตและความเสียหาย […]

ศาลออกหมายจับ 6 ผู้ต้องหา ปล้นบุหรี่ไฟฟ้าของกลาง

2 มิ.ย.- ศาลออกหมายจับ 6 ผู้ต้องหา ปล้นบุหรี่ไฟฟ้าของกลาง ย่านท่าเรือคลองเตย ส่วนคนขับรถชน รปภ. เสียชีวิต โดนฆ่าคนตาย เพิ่มอีก 1 ข้อหา 13.00 น. ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา การดำเนินคดี 6 ทรชนผู้ก่อเหตุขโมยบุหรี่ไฟฟ้าของกลางของกรมศุลกากรและก่อเหตุถอยรถตู้พุ่งชนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเสียชีวิต โดย พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้ข้อมูลว่า ศาลอาญากรุงเทพใต้อนุมัติออกหมายจับ 6 ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับทั้ง 6 คนถูกดำเนินคดีในข้อหา 4 ข้อหา ในแก่ ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ในเคหสถาน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปหรือให้พ้นการจับกุม ร่วมกันบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน โดยใช้กำลังประทุษร้าย และกระทำความผิดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ และซ่องโจร ขณะที่นายสิทธิศักดิ์ หรือแบงค์ ถูกดำเนินคดีเพิ่มอีกหนึ่งข้อหา คือ ฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดของตนหรือหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่ตนกระทำไว้ ทั้งนี้ หลังศาลอนุมัติออกหมายจับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว […]

โควิด-19 ระบาดปักธงชัย ตายแล้ว 2

นครราชสีมา 2 มิ.ย.- เชื้อโควิด-19 แพร่ระบาดที่ อ.ปักธงชัย จ.นคราชสีมา รุนแรงถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตแล้ว 2 ราย รัฐบาลเตือนระวังสายพันธุ์ใหม่ NB.1.8.1 แพร่กระจายไว ที่ อ.ปักธงชัย พบผู้เสียชีวิตจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 รอบนี้แล้ว 2 ราย ผู้ป่วยรายแรกเป็นชายเสียชีวิตเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ส่วนรายที่ 2 เสียชีวิตช่วงค่ำวานนี้ เป็นชายอายุ 72 ปี ที่โรงพยาบาลปักธงชัย ไปประกอบพิธีทางศาสนา โควิด-19 แม้จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก แต่ต้องรู้จักวิธีการป้องกันตัวเองและดูแลบุคคลในครอบครัวอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย โดยเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แจ้งว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกประกาศเตือนหลังพบพฤติกรรมของเชื้อ SARS-CoV-2 สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญใน 3 ภูมิภาคทั่วโลก ได้แก่ แปซิฟิกตะวันตก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก จากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ NB.1.8.1 ที่กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว และเชื้อโควิด-19 […]