กทม.10ต.ค.-ศาลฎีกา พิพากษากลับยกฟ้อง 6 ตำรวจฆ่าแขวนคอหนุ่ม 17 ปี ชี้ พยานให้การเป็นพิรุธ ปิดคดียาวนานมา 14 ปี
เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ นำตัวดาบตำรวจ อังคาร คำมูลนา,ดาบตำรวจ สุดธินันท์ โนนทิง และดาบตำรวจ พรรณศิลป์ อุปนันท์ มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีฆาตกรรมนายเกียรติศักดิ์ ถิตย์บุญครอง ส่วนพันตำรวจเอกมนตรี ศรีบุญลือ จำเลยที่ 5 หลบหนีไม่มาศาล มีเพียงทนายความ เดินทางมาฟังคำพิพากษา
คดีนี้พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 และนายกิตติศัพท์ ถิตย์บุญครอง เป็นโจทก์ร่วมฟ้องดาบตำรวจอังคาร,ดาบตำรวจสุดธินันท์,ดาบตำรวจพรรณศิลป์,พันตำรวจโทสำเภา อินดี อดีตสารวัตรป้องกันปราบปราม, พันตำรวจเอกมนตรี อดีตผู้กำกับการ และพันตำรวจโทสุมิตร นันท์สถิต อดีตรองผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองกาฬสินธุ์ เป็นจำเลยที่ 1 ถึง 6 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ย้ายศพเพื่อปิดบังเหตุแห่งการตาย และเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญากระทำการในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบ เพื่อช่วยเหลือบุคคลหนึ่งบุคคลใดมิให้ต้องรับโทษ เหตุเกิดระหว่างวันที่ 22-23 กรกฏาคม 2547 จำเลยที่ 1 – 3 และจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นตำรวจฝ่ายสืบสวน ร่วมกันฆ่านายเกียรติศักดิ์ ผู้ต้องหาคดีลักรถจักรยานยนต์ ขณะนำตัวออกจาก สถานีตำรวจภูธรเมืองกาฬสินธุ์ ด้วยการบีบรัดคอจนเสียชีวิต ก่อนนำศพไปอำพรางคดีด้วยการแขวนคอ
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานว่าจำเลย ฆ่าผู้ตาย มีเพียงพยานปากเดียวที่ให้การว่าเห็นจำเลยที่ 1-3 นำผู้ตายออกไปจากห้องสอบสวน ดังนั้นการรับฟังพยานต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง คำให้การของพยานเป็นพิรุธ ไม่มีน้ำหนัก น่าเชื่อถือว่าจำเลยที่ 1-3 ทำร้ายร่างกายผู้ตายจึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งหมดพิพากษาแก้คำพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยทั้ง 6 คน
ขณะที่วันนี้มีญาติของจำเลย ทั้งหมด เดินทางมาร่วมขำฟังคำพิพากษาเต็มห้องพิจารณาคดีทที่ 902 ซึ่งภายหลังศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 6 คน ญาติต่างส่งเสียงดีใจและขอบคุณศาล ขณะที่จำเลยทั้ง 5 คนก้มลงกราบขอบคุณศาลด้วยเช่นกัน
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 30 ก.ค.2555 ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1-3 ส่วนจำเลยที่ 6 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต จำเลยที่ 5 ลงโทษจำคุก 7 ปี และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 4
ต่อมาอัยการโจทก์,โจทก์ร่วมและจำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-3 มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ และย้ายศพเพื่อปิดบังเหตุแห่งการตาย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิตจำเลยที่ 1-3 นั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย แต่คำให้การของจำเลยที่ 2 มีประโยชน์ในการพิจารณาคดี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 50 ปี และพิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 4 มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ ลงโทษประหารชีวิต แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 4 ไว้ตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ 5-6 มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญากระทำการในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบฯ แต่ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 7 ปีนั้น เห็นว่าหนักเกินไป จึงพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำคุกคนละ 5 ปี
คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2547 ช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศนโยบายปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด ขณะเดียวกันช่วงเวลาดังกล่าวพบว่ามีผู้เสียชีวิตและหายสาบสูญใน จ.กาฬสินธุ์ อย่างต่อเนื่องที่สามารถตรวจสอบรายชื่อได้มีทั้งสิ้น 28 ราย โดยเฉพาะกรณีการฆ่าแขวนคอนายเกียรติศักดิ์ ญาติของนายเกียรติศักดิ์ได้เข้าร้องเรียนสาเหตุการเสียชีวิตต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ พนักงานสอบสวนดีเอสไอจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถจับกุมตัวจำเลยทั้ง 6 ได้
ด้านนางพิกุล พรหมจันทร์ อาของผู้เสียชีวิตและนายรัษฎา มนูรัษฎา ทนายความ ยอมรับคำพิพากษา แต่ไม่เห็นพ้องด้วย และขอฝากถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจจะต้องสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีเพราะคนร้ายยังลอยนวล นอกจากนี้ยังพบว่า ในจังหวัดกาฬสินธุ์ ช่วงปี 2646 – 2547 มีเหยื่อถูกฆ่าแต่ไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ถึง 20 ราย ในจำนวนนั้นมี 3 รายที่ถูกฆ่าแขวนคอเหมือนหลานชาย.-สำนักข่าวไทย
