สำนักงาน กกต.10 ต.ค. – ประธาน กกต. ระบุ เร่งปรับหลักเกณฑ์ตั้งพรรคเพื่อให้ทันการเลือกตั้ง ยืนยัน กกต.จะไม่เป็นเครื่องมือยุบพรรคเพื่อไทย ทุกเรื่องทำตามหน้าที่
นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กล่าวถึงกรณีที่ทางสำนักงาน กกต. ได้ปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การพิจารณารับจดแจ้งตั้งพรรคการเมืองใหม่ โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 45 วันว่า พรรคที่มายื่นขอจดแจ้งจัดตั้งเป็นพรรคใหม่นั้นมีเป็นร้อย หน้าที่ของ กกต.คือ กลุ่มการเมือง หรือบุคคลใดที่ยื่นขอตั้งพรรคการเมืองเราต้องทำให้มั่นใจว่าเมื่อเขาขอจดแจ้งมาแล้วกกต.ต้องจดตั้งให้เขาทันเวลา ซึ่งเมื่อมีจำนวนหลายกลุ่มก็ต้องเอาความเท่าเทียมกันเป็นเกณฑ์มากกว่าเอาพรรคใดพรรคหนึ่ง โดยในการปฏิรูปการเมืองนั้นเราต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด
“พรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคเก่าพรรคใหม่หรือพรรคเล็กพรรคใหญ่ เราก็ต้องสนับสนุนให้เขาสามารถดำเนินการ ให้ตรงวัตถุประสงค์ของเขา ดังนั้นเมื่อเขาขอจัดตั้งพรรคมาเราก็ต้องทำให้เขามั่นใจว่าเราจะจดให้เขาเป็นพรรคการเมืองได้ และให้เขาเข้าสู่สนามการเลือกตั้งได้ แต่คงไม่ใช่เป็นการปรับเพื่อเอื้อกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งถ้าจะปรับก็ให้มีมาตรฐานเดียวกัน”นายอิทธิพรกล่าว
นายอิทธิพร กล่าวว่า กกต.ต้องเร่งพิจารณาการยื่นขอจดแจ้งตั้งพรรคให้เสร็จเร็วที่สุด เพื่อพรรคที่จะเกิดขึ้นใหม่จะได้มีเวลาทำตามขั้นตอน การที่เราจะใช้เวลาตามขั้นตอนจดทะเบียนพรรคตามที่เราคาการณ์ไว้ว่า 60 วันนั้น จึงจำเป็นปรับเวลาให้ทุกกลุ่มที่ยื่นขอตั้งพรรค สามารถดำเนินการเพื่อเข้าสู่สนามการเลือกตั้งให้ได้ เพราะต้องการให้มีพรรคใหม่ๆเข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกตั้งครั้งนี้ให้มากที่สุด
ส่วนกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่า คสช.ไม่มีแผนยุบพรรคเพื่อไทย และระบุเป็นหน้าที่ของ กกต.หากพรรคเพื่อไทยกระทำความผิดนั้น นายอิทธิพร กล่าวว่า กกต.คงไม่ได้เป็นเครื่องมือของใครในการจะยุบพรรค เพราะ กกต.เองมีหน้าที่ ที่จะต้องสอดส่อง ตรวจสอบการกระทำใดๆที่จะส่งผลให้การเลือกตั้งไม่สุจริตเที่ยงธรรม ดังนั้นการตรวจสอบจึงเป็นหน้าที่ของกกต. ถ้ามีใครร้องเรียน หรือเราทราบเรื่องเองก็สามารถดำเนินการได้เลย ซึ่งตามขั้นตอนต้องตรวจสอบหาข้อเท็จจริงก่อน ว่ามีพยานหลักฐานหรือไม่ ถ้ามีพยานหลักฐานก็ดูว่าพยานนั้นจะเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ ที่ผ่านมาที่ปรากฏเป็นข่าวหรือเรื่องที่เราทราบเองก็จะมีการนำเสนอเรื่องเข้ามายังสำนักงานฯ แล้วถ้ามีมูลก็จะเสนอให้ กกต.พิจารณา ถ้าเห็นด้วยก็จะมีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนไต่สวนต่อไป.-สำนักข่าวไทย