ออมสินชี้แจงการกู้เงินของครูโครงการ ช.พ.ค.-ชพส.

กรุงเทพฯ  28 ก.ย. – ออมสินชี้แจงการกู้เงินครูโครงการ
ช.พ.ค.-ชพส.และเหตุผลการทำประกัน 


นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า
ตามที่มีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษธนาคารออมสินเกี่ยวกับการทำประกันสินเชื่อโครงการสวัสดิการเงินกู้
ช.พ.ค.นั้น ธนาคารเคยชี้แจงหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลว่าปี
2542
รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู
โดยมอบหมายให้สำนักงาน ก.ค.
จัดหาเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู
เพื่อให้ข้าราชการครูไปชำระหนี้สินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำ
โดยได้รับงบประมาณจากรัฐบาล
500 ล้านบาท
ซึ่งไม่เพียงพอในการแก้ไขปัญหา กระทรวงศึกษาธิการจึงมีหนังสือถึงกระทรวงการคลัง
ซึ่งกระทรวงการคลังมอบหมายให้ธนาคารออมสินพิจารณา

ทั้งนี้ จากการพิจารณาหารือร่วมกัน 3 ฝ่าย ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ
กลุ่มข้าราชการครูที่เป็นหนี้สิน และธนาคารออมสิน
ได้กำหนดเจตนารมณ์ร่วมกันให้มีการรวมหนี้นอกระบบทั้งหมดของผู้กู้มาไว้ที่ธนาคาร
โดยผู้กู้จะรวมกลุ่มย่อย
5-10 คน เพื่อค้ำประกันซึ่งกันและกัน
กรณีมีผู้กู้คนใดคนหนึ่งเสียชีวิต ผู้ค้ำประกันในกลุ่มต้องรับภาระหนี้แทน
จึงมีการเรียกร้องให้มีการทำประกัน เพื่อประกันสินเชื่อตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
โดยมีวัตถุประสงค์เมื่อผู้กู้เสียชีวิตจะไม่ทิ้งภาระไว้ให้แก่ผู้ค้ำประกันและทายาท
ซึ่งเก็บค่าเบี้ยประกันครั้งเดียวตลอดอายุสัญญา เช่น สัญญา
20 ปี ผู้กู้ต้องทำประกันและจ่ายเบี้ยประกัน 20 ปี
และค่าเบี้ยประกันขึ้นอยู่กับเพศ อายุผู้กู้ ทุนประกัน และระยะเวลาเอาประกัน หากวงเงินกู้เกิน
2 ล้านบาทต้องตรวจสุขภาพ และอาจต้องจ่ายเบี้ยประกันเพิ่ม
ซึ่งวงเงินความคุ้มครองจะลดลงตามภาระเงินกู้
ทำให้มีความเสี่ยงจากทุนประกันที่ลดลงอาจไม่เพียงพอกับมูลหนี้คงเหลือ


ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการ สกสค.มีโครงการช่วยเหลือสมาชิก ช.พ.ค.
โดยการจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยที่เหมาะสม
เพื่อสมาชิกจะได้นำเงินกู้ไปเป็นค่าใช้จ่ายในยามจำเป็น
จึงได้จัดทำบันทึกข้อตกลงกับธนาคาร ตั้งแต่ปี
2548 โดยโครงการแรกให้กู้ได้ไม่เกิน
200,000 บาท ต่อมาปี 2552
สำนักงานคณะกรรมการ สกสค.ได้สำรวจความต้องการของสมาชิกและขอแก้ไขหลักเกณฑ์เงื่อนไขจากเดิม
วงเงินกู้ไม่เกิน
200,000 บาท เป็น 600,000 บาท และใช้ชื่อ โครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค.
โครงการ
5” เมื่อวงเงินกู้เพิ่มขึ้น สำนักงานคณะกรรมการ
สกสค.จึงเพิ่มทางเลือกให้ผู้กู้ทำประกันสินเชื่อตามความสมัครใจ หากไม่ทำประกันฯ
เมื่อผู้กู้เสียชีวิตเงิน ช.พ.ค.ที่ทายาทจะได้รับขณะนั้นประมาณ
700,000 บาท หักค่าทำศพ 200,000
บาทแล้วจะถูกนำมาชดใช้หนี้เงินกู้และดอกเบี้ยให้แก่ธนาคาร ซึ่งอาจไม่เพียงพอชำระหนี้
และตกเป็นภาระของทายาทและผู้ค้ำประกันต่อไป หรืออาจไม่มีเงินเหลือให้ทายาท
ทำให้ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการที่ต้องการให้ทายาทได้รับเงิน ช.พ.ค.เมื่อสมาชิกเสียชีวิตแล้ว
สำนักงาน สกสค. จึงขอให้ธนาคารออมสินประสานบริษัทประกันเพื่อจัดทำประกันสินเชื่อ
ซึ่งบริษัทประกันเสนอ
การทำประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพสินเชื่อปลอดภัย
โดยมีเงื่อนไขแตกต่างจากแบบเดิมที่กำหนดความคุ้มครองแบบทุนประกันลดลงตามภาระเงินกู้เป็นแบบคุ้มครองเต็มวงเงินกู้
(แบบทุนประกันคงที่) เพื่อลดความเสี่ยงทุนประกันไม่พอกับมูลหนี้คงเหลือ
รับประกันทุกรายที่แจ้งความประสงค์ ไม่ต้องตรวจสุขภาพทุกวงเงิน (วงเงินสูงสุด
3 ล้านบาท) คุ้มครองเต็มวงเงิน อายุไม่เกิน 65 ปี
คุ้มครองคราวละไม่เกิน
9 ปี
เมื่อกรมธรรม์ครบกำหนดต่ออายุได้ไม่เกินคราวละ
9 ปี
และคุ้มครองไม่เกินอายุ
74 ปี โดยคิดค่าเบี้ยประกันจากจำนวนเงินกู้คงเหลือในอัตรา
620.-บาท/ปี/ทุนประกัน 100,000 บาท
ซึ่งค่าเบี้ยประกันดังกล่าวได้คำนวณอัตราส่วนลดสำหรับการจ่ายค่าเบี้ยประกันล่วงหน้า
9 ปีไว้แล้ว โดยให้ความคุ้มครองภัยจากอุบัติเหตุและสุขภาพ
การเจ็บป่วยด้วยภาวะโรคร้ายแรง คือ ภาวะโรคหลอดเลือดสมอง ภาวะโคม่า ภาวะระบบทางเดินหายใจล้มเหลว
ภาวะสมองตายและระบบประสาทล้มเหลว เงื่อนไขความคุ้มครองและอัตราค่าเบี้ยประกัน
ได้มีการพิจารณาข้อมูลในการทำประกันลักษณะเดียวกันที่มีอยู่ในท้องตลาด
และได้รับการพิจารณาและอนุมัติอย่างถูกต้องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
(คปภ.)

การชำระค่าเบี้ยประกัน ธนาคารจะติดต่อกับบริษัทประกันผ่านระบบ Online เพื่อยื่นคำขอทำประกัน
สำหรับค่าเบี้ยประกันเมื่อผู้กู้จ่ายค่าเบี้ยประกันให้บริษัทประกันเรียบร้อยแล้ว
ผู้กู้จะได้รับใบรับชำระเงิน เพื่อเป็นหลักฐานในการชำระค่าเบี้ยประกัน
หลังจากนั้นบริษัทประกันจะส่งใบรับรองประกันภัย/ใบเสร็จรับเงิน
ซึ่งสรุปสาระสำคัญของความคุ้มครองและเอกสารเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ความคุ้มครอง
และการเรียกร้องค่าสินไหมให้ผู้กู้ตามที่อยู่ที่ได้แจ้งไว้ ซึ่งมีใบรับรองประกันฯ
บางส่วนส่งกลับคืนมาที่บริษัท
การที่ผู้กู้บางรายไม่ได้รับเอกสารดังกล่าวอาจเนื่องจากย้ายที่อยู่
หรือไม่มีผู้รับ เป็นต้น สำหรับกรมธรรม์ฉบับเต็มบริษัทส่งมอบให้ธนาคาร
และสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. เนื่องจากเป็นการประกันแบบกลุ่ม
หากผู้กู้ต้องการกรมธรรม์ประกันภัยฉบับเต็มสามารถติดต่อขอรับได้ที่บริษัท หรือสามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ของบริษัท

ต่อมาปี 2553 สำนักงานคณะกรรมการ สกสค.สำรวจความต้องการของสมาชิกและขอแก้ไขหลักเกณฑ์เงื่อนไขจากเดิม
600,000 บาท เป็น 1,200,000 บาท
(โครงการ ช.พ.ค.
6) และเป็นไม่เกิน 3
ล้านบาท ในปี
2554 (โครงการ ช.พ.ค. 7) โดยนำเงิน
ช.พ.ค.และบุคคลค้ำประกัน หรือถ้าบุคคลค้ำประกันไม่พอ
ก็สามารถนำประกันสินเชื่อหรือหาหลักทรัพย์อื่นมาค้ำประกันเพิ่มได้ ดังนี้


วงเงินกู้                                                                             ผู้กู้ทำประกัน
                            ผู้กู้ไม่ทำประกัน

กู้ไม่เกิน 600,000 บาท                                                            1 คน                                        2 คน

กู้เกินกว่า 600,000 บาท   แต่ไม่เกิน
1.2 ล้านบาท    
                2 คน                                        4 คน

กู้เกินกว่า 1.2 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 1.8
ล้านบาท
              
        3 คน                                        6 คน

กู้เกินกว่า 1.8 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 2.4
ล้านบาท
              
        3 คน                                        8 คน

กู้เกินกว่า 2.4 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 3.0
ล้านบาท
              
        3 คน                                        10 คน

ทั้งนี้ ผู้กู้สามารถกู้ได้เพียงโครงการเดียว
หากต้องการกู้เพิ่มต้องปิดโครงการเดิมก่อน กรณีที่ผู้กู้ทำประกัน
เมื่อผู้กู้ปิดบัญชีในโครงการเดิมและกู้ในโครงการใหม่
ผู้กู้ไม่ต้องเวนคืนกรมธรรม์เดิม แต่ให้ทำประกันเพิ่มเฉพาะวงเงินที่ขอกู้โครงการใหม่
หักด้วยจำนวนทุนประกันที่ทำไว้เดิม เช่น เดิมกู้โครงการ ช.พ.ค
5 วงเงินกู้ 600,000 บาท และผู้กู้ทำประกันทุนประกัน 600,000 บาท
(ค่าเบี้ยประกันประมาณ
30,000 กว่าบาท)
ต่อมาปิดบัญชีและขอกู้โครงการ ช.พ.ค.
6 วงเงินกู้ 1,200,000 บาท หากผู้กู้ประสงค์จะทำประกันภัย ทุนประกัน 1,200,000 บาท (ค่าเบี้ยประกันประมาณ 60,000 กว่าบาท)
จะต้องทำทุนประกันเพิ่มเพียง
600,000 บาท
และจ่ายค่าเบี้ยประกันเพียงประมาณ
30,000 กว่าบาท
สำหรับการต่ออายุกรมธรรม์ จะต่ออายุเมื่อแต่ละกรมธรรม์ครบ
9
ปี ซึ่งจะครบกำหนดไม่พร้อมกัน ทั้งนี้ กรณีผู้กู้ปิดบัญชี
และอายุกรมธรรม์ยังไม่ครบ
9 ปี
ธนาคารจะจัดทำหนังสือแจ้งเวนคืนกรมธรรม์นำส่งให้บริษัทประกัน
และบริษัทประกันจะคืนเงินให้ตามอัตราที่บริษัทกำหนด

อนึ่งการทำประกันเพื่อคุ้มครองสินเชื่อตามความสมัครใจ
ซึ่งเป็นการช่วยเหลือผู้กู้ที่จำเป็นต้องกู้วงเงินสูง
แต่ไม่สามารถหาหลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกันได้ตามเงื่อนไข โดยธนาคารไม่ได้บังคับ
ปรากฏว่ามีผู้กู้เลือกทำประกันเพื่อประกันสินเชื่อคิดเป็นสัดส่วนถึง
85%
ของจำนวนผู้กู้ทั้งหมด ซึ่งที่ผ่านมามีผู้กู้ในโครงการเสียชีวิตและได้รับค่าสินไหมจากบริษัทประกันทุกราย
รวมทั้งสิ้น
24,740 ราย รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 12,642.98 ล้านบาท หักชำระหนี้ธนาคาร เป็นเงิน 2,558.62
ล้านบาท คืนเงิน ช.พ.ค.ที่นำมาชำระหนี้
9,311.47 ล้านบาท
และคืนทายาท
772.89 ล้านบาท (ทายาทได้รับเงินจากเงิน
ช.พ.ค.และค่าสินไหมคืนทายาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน
10,084.36
ล้านบาท)

สำหรับเงื่อนไขการผ่อนชำระหนี้แต่ละโครงการ ธนาคารกำหนดไว้ในหลักเกณฑ์เงื่อนไขการให้สินเชื่อ
และสัญญากู้เงิน ดังนี้ ช.พ.ค.
2-3 ระยะเวลาการกู้ 5 ปี
เมื่อสัญญากู้ครบกำหนด หากธนาคารยังไม่ได้รับชำระเงินกู้จะทำการทบทวนหนี้ใหม่ทุก 1
ปี หากผู้กู้มีประวัติการชำระเงินกู้ดีติดต่อกันและไม่มีการบอกเลิกสัญญา
หรือหากธนาคารพิจารณาให้สัญญามีผลบังคับใช้ต่อให้ถือว่าสัญญา
มีผลบังคับใช้ต่อเนื่องปีต่อปีโดยไม่ต้องทำบันทึกต่ออายุสัญญากู้ ช.พ.ค.
4-6 ระยะเวลาการกู้ 10 ปี เมื่อสัญญากู้เงินครบกำหนด
หากธนาคารยังได้รับชำระเงินกู้ ไม่ครบจะทำการทบทวนใหม่ทุก
1
ปี หากผู้กู้มีประวัติการชำระเงินกู้ดีติดต่อกันและไม่มีการบอกเลิกสัญญากู้เงิน
หรือหากธนาคารพิจารณาให้สัญญากู้เงินมีผลบังคับใช้ต่อ
ให้ถือว่าสัญญากู้เงินมีผลบังคับใช้ต่อเนื่องปีต่อปี
โดยไม่ต้องทำบันทึกต่ออายุสัญญากู้เงิน ช.พ.ค.
7 (เกื้อกูลฯ)
ระยะเวลาให้กู้ไม่เกิน
30 ปี เมื่อสัญญากู้ครบกำหนด
หากธนาคารยังได้รับชำระเงินกู้ไม่ครบ จะทำการทบทวนใหม่ทุกปี
หากผู้กู้มีประวัติการชำระเงินกู้ดี และไม่มีการบอกเลิกสัญญา
หรือหากธนาคารพิจารณาให้ สัญญามีผลบังคับใช้ต่อ
ให้ถือว่าสัญญามีผลบังคับใช้ต่อเนื่องปีต่อปี โดยไม่ต้องทำบันทึกต่ออายุสัญญากู้

ทั้งนี้ คำนวณเงินงวดผ่อนชำระ 360 งวด (30 ปี)
เช่นเดียวกับสินเชื่อเคหะที่มีเงินงวดผ่อนชำระต่ำ ทำให้สามารถกู้เงินในจำนวนที่สูงขึ้นได้
แล้วแต่ความจำเป็นของครู
แต่ผู้กู้สามารถผ่อนชำระเงินกู้มากกว่าเงินงวดตามเงื่อนไขหรือนำเงินมาสมทบชำระหนี้
เพื่อให้ชำระหนี้หมดเร็วกว่าที่กำหนดไว้ ทำให้จ่ายดอกเบี้ยลดลง
โดยกำหนดให้ชำระหนี้ภายในวันสุดท้ายของเดือน หากชำระหนี้ล่าช้าเกินกว่า
62 วัน
ธนาคารจึงจะคิดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดไม่ชำระหนี้ในอัตราร้อยละเท่ากับอัตราดอกเบี้ยปกติบวกเพิ่มร้อยละ
2 ดังนั้น กรณีที่หน่วยงานนำส่งชำระหนี้ล่าช้า แต่ไม่เกิน 62
วัน ธนาคารไม่คิดอัตราดอกเบี้ยผิดนัด
และเมื่อธนาคารได้รับชำระหนี้แล้วจะออกใบเสร็จรับชำระหนี้แบบกลุ่มหน่วยงานส่งให้สำนักงาน
สกสค. หรือ หน่วยจ่ายเงินเดือน และจัดทำ
statement ส่งให้ผู้กู้เป็นรายปีทุกปี
กรณีที่มีผู้กู้ต้องการ
statement ก่อนที่ธนาคารจัดส่งให้
ผู้กู้สามารถแจ้งความประสงค์ที่สาขา เพื่อนำส่งให้ตามที่อยู่ที่แจ้งไว้
.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศบ.ทก. เผย GBC สรุปข้อตกลง 2 ฝ่าย จ่อชง สมช.-ครม.นัดพิเศษ

ทำเนียบ 6 ส.ค.- ศบ.ทก. เผยข่าวดี ที่ประชุม GBC สรุปข้อตกลง 2 ฝ่าย พร้อมเตรียมเสนอให้ สมช. – ครม. นัดพิเศษ พิจารณาเย็นนี้ ก่อน รมช.กห. เดินทางร่วมลงนามพรุ่งนี้ ด้าน กต. เตรียมประชุมทูตทั่วโลก เพื่อชี้แจงสถานการณ์ให้นานาชาติเข้าใจ หลังพาองค์การระหว่างประเทศเยี่ยม 18 เชลยศึก ขณะที่ผ่อนปรนให้โดรนเพื่อการเกษตรบินได้หลัง 15 ส.ค.นี้ พลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทบ.) และนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมกับนางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ภายหลังจากการประชุมความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือตรีสุรสันต์ แถลงว่าสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในส่วนของความมั่นคงในห้วงที่ผ่านมา สถานการณ์โดยทั่วไปอยู่ในสภาวะปกติ มีการเสริมที่มั่นทางทหารในพื้นที่บางส่วน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่มีการเสริมกำลังทหารแต่อย่างใด ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเช่นเดียวกันก็มีการตรวจพบว่ามีการใช้โดรนเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในสถานการณ์ไทยห้ามบินโดรนทั่วประเทศ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงยังเข้มงวดในการสกัดกั้น ตรวจตรา ตรวจสอบ รวมทั้งดำเนินการตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องด้วย ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 15 […]

กกพ.จี้ MEA แจงปัญหาไฟดับ

กรุงเทพฯ 6 ส.ค. – สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จี้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) แจ้งปัญหาไฟดับเป็นบริเวณกว้าง ด้านประชาชนแห่คอมเมนต์ผลกระทบและต้องการเห็นการชดเชย จากปัญหาความเดือดร้อนคนกรุงเทพฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา (5 ส.ค.) เวลา 22.12 น. เกิดไฟดับเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ย่านสะพานควาย เขตพญาไท ถ.ประดิพัทธ์ และ ถ.พระรามที่ 6 และ MEA แก้ไขจนจ่ายครบเวลา 23.50 น. ทางสำนักงาน กกพ.แจ้งว่าได้ประสานให้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) รายงานข้อเท็จจริง และแนวทางการแก้ไขและป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก ในขณะที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบต่างระบุเดือดร้อนจากเหตุไฟดับ ต้องการให้ MEA ชี้แจงสาเหตุที่ชัดเจน บางส่วนก็ชื่นชม แก้ปัญหาได้รวดเร็ว บางส่วนก็ต้องการเห็น การชดเชยจาก MEA เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและมีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยไฟดับทั้งอาคาร ดับทั้งไฟสาธารณะ ไฟจราจร สัญญาณอินเทอร์เน็ต ทั้งนี้ MEA ชี้แจงเบื้องต้นสาเหตุเกิดจากความขัดข้องทางเทคนิคของอุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้าย่อย ในระหว่างการเตรียมการเพื่อปฏิบัติงานปรับปรุงระบบจ่ายไฟฟ้าตามปกติ, ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือภัยคุกคามทางไซเบอร์ สาเหตุที่แท้จริงของอุปกรณ์ขัดข้องจะชี้แจงต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า […]

ตำรวจเตรียมสอบเชิงลึกชาย BHQ หวั่นเป็นไส้ศึก

บุรีรัมย์ 6 ส.ค.-ตำรวจ สอบปากคำชายชาวกัมพูชา พบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ อ้างเคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับ กรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จังหวัดบุรีรัมย์ จับกุมชายชาวกัมพูชา ได้ที่บ้านพักภรรยาคนไทยและมีเครื่องแบบทหารพร้อมตราสัญลักษณ์ BHQ จากการสอบปากคำ เคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว มาทำงานอยู่ไทย แล้วถูกสวมชื่อ จากการตรวจสอบพบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ ซึ่งแต่ละชื่อไม่ตรงกัน และอ้างว่าเมื่อก่อนเข้ามาอย่างถูกต้อง แต่ล่าสุดมีการลักลอบเข้ามาผ่านช่องทางธรรมชาติทาง จ.สระแก้ว โดยอ้างว่าจ่ายเงินบุคคลที่พาเข้า 4,000 บาท แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงว่าอาจจะแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับคอยส่งข้อมูลความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความมั่นคงของไทย ไปให้ฝั่งกัมพูชา จากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์พบมีรูปถ่ายกายแต่งกายทหารและถือปืน เบื้องต้นทางตำรวจจะดำเนินคดีมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต.-สำนักข่าวไทย

GBC หารือใหม่เช้านี้ หลังเมื่อคืนถกถึงเที่ยงคืน

มาเลเซีย 6 ส.ค.-GBC ประชุมใหม่เช้านี้ หลังเมื่อคืน ฝ่ายกัมพูชา ไม่สามารถตัดสินตกลงใจได้ในบางหัวข้อและต้องส่งกลับไปให้พนมเปญพิจารณาต่อ การหารือภายใต้กรอบ GBC ณ เวลา 07.45 น. วันนี้ (ตามเวลาท้องถิ่น) เมื่อคืน คณะเลขานุการ GBC ของทั้งสองฝ่าย ได้เจรจากันถึงเวลา 00.15 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) แต่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ในบางประเด็นสุดท้าย เนื่องจากฝ่ายเลขานุการ GBC ของฝ่ายกัมพูชา ไม่สามารถตัดสินตกลงใจได้ในบางหัวข้อและต้องส่งกลับไปให้พนมเปญพิจารณาต่อ จึงได้นัดประชุมอีกครั้ง เวลา 08.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) วันนี้ เพื่อหาข้อสรุปสำหรับประเด็นดังกล่าว โดยเมื่อเวลา 07.40 น. รัฐมนตรีช่วยกลาโหม ได้โทรศัพท์มาพูดคุยกับคณะเลขานุการ GBC ของฝ่ายไทยติดตามความคืบหน้าในการเจรจา ให้กำลังใจ และชื่นชมในการทำงานอย่างหนักถึงวินาทีสุดท้ายของทีมไทยแลนด์ ขอให้ประสบความสำเร็จในการเจรจา เพื่อบรรลุผลและปกป้องผลประโยชน์ของไทย.-สำนักข่าวไทย