ศาลสั่งจำคุกและปรับเสี่ยรถเบนซ์เมาขับรถไล่ปาดหน้าย่านพระราม 3

กรุงเทพฯ 8 ส.ค.- ศาลสั่งจำคุก 3 เดือน ปรับ 10,000 บาทโดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี  และพักใบอนุญาตขับขี่ 1ปี รวมทั้งทำงานบริการสังคม 48 ชั่วโมง เสี่ยรถเบนซ์เมาสุราขับรถไล่และปาดหน้ารถผู้เสียหาย บนถนนพระราม 3 


พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. เปิดเผยถึงคลิปวีดีโอที่มีการแชร์มากในโลกโซลเชียลมิเดียถึงผู้ขับขี่รถยนต์ประมาทหวาดเสียว เหตุเกิดในพื้นที่ สน.บางโพงพาง ว่าได้รับรายงานจาก สน.บางโพงพาง ว่า เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2561 เวลาประมาณ 22.30 น. ผู้เสียหายขับรถยนต์ยี่ห้อ ฮอนด้าซีวิค สีบลอนด์ทอง ทะเบียน วร-8144 โดยมีผู้โดยสารมาด้วยอีก 1 คน ขณะขับรถกลับบ้านพัก เมื่อมาถึงถนนพระราม 3 บริเวณหน้าคอนโดเอสวีซิตี้ ขณะที่ผู้เสียหาย กำลังขับขี่รถของตนอยู่ในช่องทางเดินรถที่ 2 นับจากขวามือข้างช่องทางเดินรถบีอาiNที (มีทั้งหมด 4 ช่องทาง) ด้วยความเร็วประมาณ 80 กม./ชม. ผู้เสียหาย เห็นรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ สีเทา ทะเบียน 5กธ-6291 กรุงเทพมหานคร มี ผู้ต้องหา เป็นผู้ขับขี่ ขับขี่อยู่ในช่องทางที่ 2 นับจากซ้ายมือซึ่งอยู่ช่องทางเดินรถทางซ้ายมือของรถผู้เสียหาย กำลังจะเปลี่ยนช่องทางล้ำเข้ามาในช่องทางเดินรถผู้เสียหาย โดยไม่ให้สัญญาณไฟจราจร ผู้เสียหาย จึงได้บีบแตรเป็นจังหวะสั้นๆ ประมาณ 2 ครั้ง แต่ ผู้ต้องหา ก็ยังไม่หยุดขับขี่ล้ำเข้ามาในช่องทางเดินรถของผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงได้บีบแตรยาว ผู้ต้องหาจึงได้บังคับรถหักรถกลับช่องทางของตน จากนั้นผู้เสียหายขับขี่รถไปตามถนนพระราม 3 มุ่งหน้าไปยังสะพานข้ามแยกท่าน้ำสาธุประดิษฐ์ แต่ผู้ต้องหาก็ยังได้ขับขี่ตามผู้เสียหาย มาชิดทางด้านหลังรถ และมาชิดทางด้านซ้ายรถผู้เสียหาย จนมาถึงก่อนทางขึ้นสะพานข้ามแยกท่าน้ำสาธุประดิษฐ์  ผู้เสียหาย จึงได้ชะลอรถเพื่อรอให้ผู้ต้องหา ขับรถผ่านไปก่อน แต่ผู้ต้องหา ได้ชะลอรถข้างหน้ารถผู้เสียหาย แล้วจอดชิดขอบทางด้านซ้าย ผู้เสียหายจึงได้ขับรถขึ้นสะพานข้ามแยกท่าน้ำสาธุประดิษฐ์ไป  ผู้เสียหาย เห็นว่าไม่ปลอดภัยจึงได้บอกให้ ผู้โดยสาร โทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อลงจากสะพานข้ามแยกท่าน้ำสาธุประดิษฐ์แล้ว ผู้เสียหาย ได้ขับขี่อยู่ในช่องทางเดินรถที่ 2 นับจากซ้ายมือ (มีทั้งหมด 4 ช่องทาง) ผู้ต้องหาก็ยังขับขี่รถตามมาอีกและขับขี่ประกบอยู่ข้างหน้าเล็กน้อยทางด้านขวามือของรถผู้เสียหาย อยู่ในช่องทางเดินรถที่ 3 นับซ้ายมือ ประกบข้างรถนายนิพนธ์ฯ มาเรื่อย ซึ่งขณะนั้นผู้เสียหาย ขับขี่ด้วยความเร็วประมาณ 30 กม./ชม. จนกระทั้งมาถึงบริเวณหน้าปั๊มเชลล์ถนนพระราม 3 ก่อนถึงทางแยกใต้สะพานพระราม 9 ผู้ต้องหา ได้ขับขี่รถเบียดเข้ามาในช่องทางเดินรถของผู้เสียหาย ผู้เสียหาย ได้พยายามเบี่ยงรถหลบหนีไปทางซ้าย แต่ผู้ต้องหา ก็ยังได้ขับขี่รถเบียดตามรถผู้เสียหาย มาอีก  เมื่อถึงบริเวณช่วงต้นทางขึ้นสะพานข้ามแยกใต้สะพานพระราม 9 ผู้ต้องหา ได้ชะลอรถอยู่ข้างหน้าผู้เสียหาย ในช่องทางขึ้นสะพานช่องทางซ้ายมือ (มี 2 ช่องทาง) ผู้เสียหาย จึงได้หยุดรถและถอยรถลงจากทางขึ้นสะพานข้ามแยกพระราม 9 เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงวิ่งทางด้านล่าง ผู้เสียหาย จึงได้หยุดรถแล้วขับขี่รถถอยหลังลงจากสะพานแล้วขับขี่ตามรถผู้เสียหายมา ขณะที่ผู้เสียหาย กำลังหยุดรอสัญญาณไฟแดงอยู่ในช่องทางเดินรถที่ 2 นับจากขวามือ (มีทั้งหมด 4 ช่องทาง) ของทางแยกใต้สะพานพระราม 9 ผู้ต้องหาได้ขับขี่รถตามมาจากทางด้านหลัง มาจากทางด้านขวามือ จากนั้นปาดซ้ายเข้ามาหยุดยังช่องทางหน้ารถของผู้เสียหาย ผู้เสียหาย จึงได้ขับขี่ออกมาทางขวามือและได้พบ เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สน.บางโพงพาง อยู่บริเวณแยกใต้สะพานพระราม 9 พอดี จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรทราบ 

จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องหา มีลักษณะอาการคล้ายคนเมาสุรา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัว มาตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่ป้อมตำรวจจราจร บริเวณใต้ทางด่วนสาธุประดิษฐ์  ผลปรากฏว่า มีระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 224 มิลลกิกรัมเปอร์เซ็นต์ เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้  จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรจึงได้จับกุมตัว ในข้อหา ขับขี่รถในขณะเมาสุราหรือเมาอย่างอื่น นำส่งพนักงานสอบสวน สน.บางโพงพาง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 


รองโฆษก ตร. กล่าวต่ออีก พนักงานสอบสวนได้สอบสวน ผู้เสียหาย และ พยาน ในคดี และได้แจ้งข้อหาผู้ต้องหาเพิ่มเติมจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรจับกุมในข้อหาขับขี่รถในขณะเมาสุรา เป็นข้อหา 1.ขับรถในขณะหย่อนความสามารถในอันที่จะขับ 2.ขับรถในขณะเมาสุราหรือเมาอย่างอื่น 3.ขับรถในลักษณะกีดขวางการจราจร 4.ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตราแก่บุคคลหรือทรัพย์ 5.ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น ได้สอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา จึงได้ส่งสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวงพระนครใต้ สั่งฟ้องผู้ต้องหา ซึ่งต่อมา เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2561 ศาลแขวงพระนครใต้มีคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ 1972/2561คดีหมายเลขแดงที่ 2157/2561 ลงวันที่ 7 สิงหาคม 2561  1. ข้อหาขับรถขณะเมาสุราฯ ปรับ 8,000 บาท จำคุก 3 เดือน โทษจำรอ 2 ปี  2.ข้อหาขับรถประมาทหวาดเสียวฯ และไม่คำนึงถึงความปลอดภัยฯ ปรับ 2,000 บาท  3. กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงโทษบทหนัก และคุมประพฤติรายงานตัว 3 เดือนต่อครั้งใน 1 ปี ทำงานบริการสังคม 48 ชม. พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ 1 ปี

สำหรับประเด็นที่ผู้เสียหายนำไปโพสต์ลงในโลกโซลเชียลมิเดีย ในลักษณะที่วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจและแจ้งข้อกล่าวหาของพนักงานสอบสวนนั้น ทำให้มีประชาชนบางส่วนได้รับข่าวสารที่ไม่เป็นความจริง เพราะพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวน สั่งฟ้องผู้ต้องหาตั้งแต่มีการรับแจ้งเหตุ ประกอบกับ พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการไปตามกรอบกฎหมาย ตามพยานหลักฐาน เมื่อผู้เสียหายประสงค์ที่จะแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในฐานความผิดใด พนักงานสอบสวนก็ได้จัดให้มีการสอบสวน ซึ่งในคดีนี้ก็ได้มีการรับแจ้งความและได้ทำการสอบสวนมาโดยตลอด .-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

“ภูมิธรรม” นำจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2568

สนามหลวง 12 ส.ค.- “ภูมิธรรม” และภริยา เป็นประธานในพิธีถวายเครื่องราชสักการะและพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2568 เวลา 20.05 น. ณ เวทีใหญ่ ท้องสนามหลวง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางอภิญญา เวชยชัย ภริยา เป็นประธานในพิธีถวายเครื่องราชสักการะและพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2568 โดยมีประธานวุฒิสภา (ผู้แทนประธานรัฐสภา) ประธานศาลฎีกาและคู่สมรส ประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญพร้อมคู่สมรส คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทหาร ตำรวจ พลเรือน และภาคประชาชน เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง เมื่อรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และภริยา ถึงบริเวณพิธีท้องสนามหลวง ขึ้นสู่เวที รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ประธานวุฒิสภา (ผู้แทนประธานรัฐสภา) ประธานศาลฎีกา […]

จากแม่ถึงลูกทหารบาดเจ็บ เหตุปะทะไทย-กัมพูชา

ขอนแก่น 12 ส.ค. – ครอบครัวตระกูลบุญธรรมในอำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ที่ลูกชายทหารเกณฑ์บาดเจ็บจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา แม้สื่อสารกันน้อย แต่ความรักของแม่ลูก ไม่ได้ลดน้อยลง และพร้อมสนับสนุนลูกชายสู่เส้นทางทหารอาชีพตามความตั้งใจ หลังไปเป็นรั้วของชาติ แล้วเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น.-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ลั่นพร้อมใช้สิทธิปกป้องกำลังพล-ปรับแผนลาดตระเวน

12 ส.ค.- “แม่ทัพภาค2” ชี้เขมรแอบลอบวางทุ่นระเบิด ละเมิดเงื่อนไขหยุดยิง หวังยั่วยุ พร้อมใช้สิทธิปกป้องคุ้มครองกำลังพล เป็นเรื่องหน้างานไม่เกี่ยวเจรจา เชื่อเขมรไม่ยอมรับตามเงื่อนไขที่ไทยเสนอ เล็งใช้กล้องวงจรปิด ปรับแผนการลาดตระเวน เผยรายงานรัฐบาล-ผบ.ทบ.แล้ว จ่อประท้วงระดับสากล เมื่อวันที่ 12 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่ทหารพราน ร้อย.ทพ.2610 เหยียบกับระเบิดระหว่างปฏิบัติภารกิจลาดตระเวน ในพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บสูญเสียขาซ้าย 1 นาย คือ ส.อ.ธีรพล เพียขันที ขณะนี้ปลอดภัยแล้ว ซึ่งเหตุเกิดในจุดแนววางรั้วลวดหนามทางด้านทิศตะวันตก ถ้าหันหน้าเข้าเขมรจะอยู่ฝั่งขวาของตัวปราสาท และห่างจากตัวปราสาทประมาณ 1 กิโลเมตร เรียกว่าช่องจุ๊บตาโมก สันนิษฐานว่าเขมรลักลอบมาวางระกับเบิดช่วงที่ถอนกำลังทหารออกไป ซึ่งวันนี้ทหารไปตรวจสอบแนววางลวดหนาม บริเวณดังกล่าวอยู่ในเขตแดนไทย เป็นเส้นทางที่ใช้ลาดตระเวนประจำอยู่ในฝั่งไทยอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถือเป็นการยั่วยุ ผิดเงื่อนไขการหยุดยิง เพราะการวางทุ่นระเบิด ถือเป็นการยิงเหมือนกัน เราจะมีมาตรการตอบโต้ และรายงานให้รัฐบาลรับทราบตามขั้นตอนแล้ว หลังจากนี้จะนำไปสู่ขั้นตอนการประท้วงในระดับสากล พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ […]

เฉลิมพระเกียรติพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ทบ.ยิงสลุตหลวง เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

12 ส.ค. – ทบ.ยิงสลุตหลวง เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2568 วันนี้เวลา 12.00 น. ณ ท้องสนามหลวง กองทัพบก โดยกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 1 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ ยิงสลุตหลวงจำนวน 21 นัด เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2568 โดยกองร้อยปืนใหญ่ยิงสลุต ใช้ปืนใหญ่เบากระสุนวิถีราบ แบบ 80 ขนาด 75 มิลลิเมตร จำนวน 4 กระบอก ทำการยิงตามจังหวะของเพลงสรรเสริญพระบารมี จำนวน 21 นัด จังหวะ 5 วินาที ทีละกระบอก นับรอบจากขวาไปซ้าย ใช้เวลายิงทั้งหมด 1 นาที 40 […]