สำนักข่าวไทย 26 ก.ค. – สธ.เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ช่วยเหลือกรณีสันเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย พร้อมส่งทีมสอบสวนโรค และนำยาปละอุปกรณ์การแพทย์ไปช่วยเหลือ ตามที่ สปป.ลาวร้องขอ
นพ. โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ตามที่นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) เพื่อให้การสนับสนุนช่วยเหลือด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีสันเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย แตก ที่เมืองสนามไซ แขวงอัตตะปือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยมอบหมายให้นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพ ที่ 10 เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ด้านการแพทย์และสาธารณสุข
โดยเช้าวันนี้ (26ก.ค.) ศูนย์ EOC ได้ส่งทีมประเมินสถานการณ์ ทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว (SRRT) ทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจ( MCATT) เข้าไปยังจุดเกิดเหตุ พร้อมเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ยาชุดน้ำท่วม 5,000 ชุด ตามการประสานงานจากหัวหน้าแผนกสาธารณสุขแขวงจำปาสัก เพื่อช่วยสนับสนุนเติมเต็มในการช่วยเหลือประชาชน ทั้งนี้ ในการดำเนินการช่วยเหลือครั้งนี้ เป็นไปตามบันทึกความเข้าใจ ลุ่มน้ำโขง ของจังหวัดอุบลราชธานีกับแขวงจำปาสัก ที่มีความร่วมมือช่วยเหลือกันอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การปฏิบัติงานร่วมกับศูนย์อำนวยการตอบโต้ภัยพิบัติระดับจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นผู้การบัญชาการเหตุการณ์
นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพ ที่ 10 ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ด้านการแพทย์และสาธารณสุข กล่าวว่า สำหรับ แผนการดำเนินงานสนับสนุนได้เตรียมไว้มีดังนี้ 1.จัดตั้งทีมปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ (Medical Emergency Response Team : MERT) จำนวน 3 ทีม ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่เวชกิจฉุกเฉิน ช่าง และเจ้าหน้าที่อื่นๆ รวม 32 คน เข้าปฏิบัติการในจุดอพยพ เมืองสนามไซ 1 ทีม และเมืองปากซอง 2 ทีม
2.จัดตั้งทีมปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ทีม MCATT SRRT และทีมอนามัยสิ่งแวดล้อม 3.เตรียมเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ยานพาหนะ เดินทางเข้าพื้นที่ 4.จัดตั้งชุดคัดกรอง และจุดประสานงานไว้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อคัดกรองผู้ป่วยและประสานความช่วยเหลือ โดยให้โรงพยาบาลสิรินธร เป็นเจ้าภาพหลักในการปฏิบัติการ 5.การลงทะเบียนจัดเตรียมทีมแพทย์จากภายนอกจังหวัดอุบลราชธานี และโรงพยาบาลเอกชน หรือสังกัดอื่นๆ เพื่อบูรณาการการทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งในส่วนกลางและระดับจังหวัดส่วนหน้า.-สำนักข่าวไทย