กพช. 23 เม.ย.ยังไม่พิจารณาปรับโครงสร้างราคาเอสพีพีชีวมวล




กรุงเทพฯ 21 เม.ย. –ชมรมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
(เอสพีพี ) ชีวมวล ทำหนังสือเปิดผนึก ถึง รมว.พลังงาน ขอให้ พิจารณาปรับโครงสร้างราคาใหม่ให้เป็นธรรมหลังกระทรวงพลังงานปรับราคาให้วีเอสพีพีไปแล้ว
โดยขอให้นำเข้า กพช. 23 เม.ย.ด้าน รมว.พลังงานเผยไม่มีการพิจารณาเรื่องนี้


         นายนที สิทธิประศาสน์   ประธานชมรมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
(SPP) ชีวมวล เปิดเผยว่า
เมื่อวันที่ 19 เม.ย.2561 ทางชมรมได้ ยื่นหนังสือ
หนังสือเปิดผนึก ถึง นายศิริ จิระพงษ์พันธ์  รมว.พลังงาน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ยื่นหนังสือไปแล้วครั้งหนึ่ง
โดยขอให้มีการปรับโครงสร้างราคารับซื้อให้เป็นธรรม เช่นเดียวกับสมัยอดีต
รมว.พลังงาน  พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์  ได้เสนอ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)
และมีมติให้ปรับโครงสร้างเช่นเดียวกับผู้ประกอบการวีเอสพีพี ชีวมวล ที่ปรับราคาเป็นโครงสร้างอุดหนุนแบบ
FIT ซึ่งการปรับโครงสร้างดังกล่าวทำให้ วีเอสพีพี
ได้เปรียบมีความสามารถซื้อเชื้อเพลิงชีวมวลในอัตราที่สูงกว่า และไม่มีโครงสร้างถูกดำเนินการเรียกค่าปรับ
เพราะเป็นสัญญาแบบ
NON FIRM ในขณะที่เอสพีพีเป็นสัญญาแบบ FIRM
ที่จะถูกปรับหากดำเนินการไม่ได้

           โดยที่ผ่านมา
ผู้ประกอบการเอสพีพีต้องประสบปัญหาขาดทุน บางรายอาจจะต้องปิดตัวลง หากไม่ได้รับการช่วยเหลือ
บางรายได้มีการฟ้องร้องศาลปกครอง และกระทรวงพลังงานเจรจาไกล่เกลี่ย โดยยืนยันจะปรับโครงสร้างราคาเช่นเดียวกับวีเอสพีพี
ทางเอกชนจึงถอนฟ้อง อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานยังไม่ได้ดำเนินการตามข้อตกลง
และตามมติ กพช. ดังนั้น จึงขอให้ รมว.พลังงานนำเรื่องเข้าสู่การประชุม กพช.วันที่
23 เม.ย.นี้

        “เอสพีพี ชีวมวลขอ โอกาสและการปฏิบัติเท่าเทียมและขอให้นำมาตรการช่วยเหลือ SPP ชีวมวลที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเมื่อ 5
กันยายน 2560 และ 8 กุมภาพันธ์ 2561 พร้อมด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเมื่อ 28
มีนาคม 2561 เข้าสู่วาระการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในวันที่ 23
เมษายน 2561 นี้ด้วย”นายนที ระบุ

     
             อย่างไรก็ตาม รมว.พลังงาน
ระบุว่า การประชุม กพช. 23 เม.ย.นี้ จะมีการหารือเรื่องหลักๆ 2 เรื่องเท่านั้น คือ
เรื่องมแผนพัฒนาไฟฟ้าระยะยาว (พีดีพี ) และการเปิดประมูลแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมหมด
อายุ

        ทั้งนี้ หนังสือเปิดผนึกของ ชมรม SPP ชีวมวลระบุว่ามีข้อเท็จจริง 11 ประการ ได้แก่

1.            
SPP
ชีวมวลเป็นโรงไฟฟ้ารุ่นแรกของประเทศไทยที่ผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทน

2.            
SPP
ชีวมวลรุ่นแรกไม่เคยได้รับทั้งเงินสนับสนุน Adder และ FiT จึงไม่เคยเป็นภาระค่าไฟของประเทศและประชาชน

3.            
ค่าไฟฟ้าโดยรวมของประเทศและประชาชน (ค่าไฟฟ้าฐาน) คือ 3.76
บาทต่อหน่วย

4.            
รัฐรับซื้อไฟฟ้าจาก
SPP ชีวมวลที่เกินกว่าครึ่งเป็น
Firm ในราคาเฉลี่ยที่ 2.65 บาทต่อหน่วย

5.            
รัฐรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าประเภทเดียวกันกับ
SPP ชีวมวลแต่มาทีหลังคือ
VSPP ชีวมวลที่ทั้งหมดเป็น Non-Firm ในราคาสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
4.24 บาทต่อหน่วย

6.            
เป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่ราคารับซื้อแบบ
Firm ที่ต้องขายไฟให้ได้ตามสัญญาหากขายไม่ได้ต้องมีค่าปรับ
กลับมีราคาถูกกว่าแบบ
Non-Firm ที่ไม่ผลิตไม่ขายไฟก็ได้โดยไม่มีค่าปรับ

7.            
SPP ชีวมวลร้องขอราคา FiT ที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงเพื่อให้แข่งขันซื้อเชื้อเพลิงชีวมวลกับ
VSPP ได้ที่ 3.66 บาทต่อหน่วย (เนื่องจากมีขนาดใหญ่กว่า VSPP ต้นทุนต่อหน่วยจึงต่ำกว่า)

8.            
เมื่อรวม
SPP ชีวมวลรุ่นแรกที่มีขนาดเท่ากับ
VSPP (ปริมาณขายไฟฟ้า 457 ล้านหน่วย) ราคารับซื้อไฟฟ้าจาก
SPP ชีวมวลโดยเฉลี่ยจะเป็น 3.72 บาทต่อหน่วยซึ่งยังคงต่ำกว่าค่าไฟฟ้าฐาน

9.            
ปริมาณการใช้ไฟฟ้าของประเทศคือ
197,000 ล้านหน่วย

10.     
ปริมาณขายไฟฟ้ารวมของ
SPP ชีวมวล
(Plant Factor 70%) คือ 4,119 ล้านหน่วย

11.     
ด้วยราคาที่ต่ำกว่าค่าไฟฟ้าฐานและปริมาณขายไฟฟ้าเพียง
2% ของการใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ
จึงไม่กระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนและของประเทศโดยรวมแต่อย่างใด

 

นอกจากนี้ หนังสือเปิดผนึก ยังเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ประกาศในราช
กิจจานุเบกษาวันที่
6 เมษายน 2561 เรื่องการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน
ในบริบทตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ
2560
กำหนดให้ดุลยภาพในการพัฒนาระบบโครงสร้างพลังงานอย่างยั่งยืนต้องประกอบด้วย
1.
นโยบายพลังงาน การแข่งขันอย่างเสรีเป็นธรรม 2. การกำกับดูแล อิสระมีส่วนร่วมและเป็นธรรม
3. ผู้ประกอบการ โอกาสและการปฏิบัติเท่าเทียม
สำนักข่าวไทย

 

                                 

 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

เฉลิมพระเกียรติพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ทบ.ยิงสลุตหลวง เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

12 ส.ค. – ทบ.ยิงสลุตหลวง เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2568 วันนี้เวลา 12.00 น. ณ ท้องสนามหลวง กองทัพบก โดยกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 1 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ ยิงสลุตหลวงจำนวน 21 นัด เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2568 โดยกองร้อยปืนใหญ่ยิงสลุต ใช้ปืนใหญ่เบากระสุนวิถีราบ แบบ 80 ขนาด 75 มิลลิเมตร จำนวน 4 กระบอก ทำการยิงตามจังหวะของเพลงสรรเสริญพระบารมี จำนวน 21 นัด จังหวะ 5 วินาที ทีละกระบอก นับรอบจากขวาไปซ้าย ใช้เวลายิงทั้งหมด 1 นาที 40 […]

ทบ.เผยหากสถานการณ์บีบบังคับ อาจต้องใช้สิทธิป้องกันตนเอง

12 ส.ค.- ทบ.ชี้กัมพูชาลอบวางทุ่นระเบิดคุกคามต่อเนื่อง ไม่สนผิดอนุสัญญาออตตาวา โฆษก ทบ.เผยหากสถานการณ์บีบบังคับ กองทัพอาจจำเป็นต้องใช้สิทธิป้องกันตนเองตามหลักสากล พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2568 เวลาประมาณ 09.10 น. สิบเอก ธีรพล เพียขันที สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 2610 พร้อมกำลังพลรวม 7 นาย ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนตามแนวชายแดนไทย บนเส้นทางประจำ ห่างจากปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ประมาณ 1 กิโลเมตร ระหว่างปฏิบัติภารกิจ สิบเอก ธีรพล ได้เหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ฝ่ายกัมพูชาลอบวางไว้ ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณข้อเท้าซ้าย ปัจจุบันได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลพนมดงรัก อาการพ้นขีดอันตรายแล้ว เหตุการณ์นี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และไม่เคารพต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งห้ามใช้และวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทุกชนิด นับเป็นการลอบโจมตีที่มีเป้าหมายต่อกำลังพลฝ่ายไทยโดยตรง และเกิดขึ้นในเขตแดนไทย ยิ่งไปกว่านั้น เหตุลักษณะเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นหลายครั้งในพื้นที่ชายแดน สะท้อนถึงเจตนาร้ายและพฤติกรรมต่อเนื่องของฝ่ายกัมพูชาในการคุกคามฝ่ายไทย และละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนไทย สวนทางกับข้อตกลงหยุดยิงระหว่างประเทศในการประชุม GBC ที่ผ่านมา จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า […]

ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดขณะลาดตระเวน สูญเสียขาอีก 1 นาย

12 ส.ค.- ทหารพรานเหยียบทุ่นระเบิด ขณะลาดตระเวนพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม หลังรั้วลวดหนามฝั่งไทย คาดทหารเขมรล่าถอยแล้วฝังทุ่นระเบิดไว้ เมื่อเวลา 09.10 น. รายงานข่าวจากกองทัพพื้นที่สองเปิดเผยว่า ได้เกิดเหตุทหารพราน 2610 เหยียบกับระเบิดขณะทำการลาดตระเวนบริเวณฐานจุ๊บตาโมก ฝั่งตะวันตกของปราสาทตาเมือนธม ซึ่งอยู่ในแนวรั้วลวดหนามของฝั่งประเทศไทย บริเวณพิกัด R51 มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย ทราบชื่อ ส.อ.ธีรพล เพียขันที กรุ๊ปเลือด AB ได้รับบาดเจ็บขาซ้ายขาด ขณะนี้กำลังนำส่งโรงพยาบาล ทั้งนี้ คาดว่าหลังจากเหตุปะทะกันทางทหารกัมพูชาได้ล่าถอยและฝั่งทุ่นระเบิดไว้ก่อนออกนอกพื้นที่เขตประเทศไทย -สำนักข่าวไทย

“แพทองธาร” ปัดตอบกระแสข่าวชิงลาออก บอกสื่อ “คิดถึงนะคะ”

สนามหลวง 12 ส.ค.- “แพทองธาร” ยิ้ม ปัดตอบกระแสข่าวชิงลาออก ก่อนศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน บอกสื่อฯ “คิดถึงนะคะ” ภายหลังนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคู่สมรส ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 ส.ค.2568 ณ ท้องสนามหลวง ทันทีที่พบผู้สื่อข่าว นางสาวแพทองธาร หันมาพูดเพียงสั้น ๆ ว่า “คิดถึงนะ” ผู้สื่อข่าวจึงพยายามสอบถามเรื่องกระแสข่าวการลาออกจากตำแหน่ง ก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำตัดสิน คดีคลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งนางสาวแพทองธาร ยิ้มและไม่ตอบคำถาม ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ หรือสุดท้ายจะอยู่ รวมถึงขอให้ยืนยันว่าจะลาออกหรือไม่ ซึ่งนางสาวแพทองธาร ไม่ได้ตอบคำถาม และเดินทางขึ้นรถทันที.-315 -สำนักข่าวไทย