กรุงเทพฯ 31 ธ.ค.-“พล.อ.วิทวัส” เปิดซิงกฎหมายผู้ตรวจการแผ่นดินใหม่กับ ทอท. เตรียมส่ง ป.ป.ช.เอาผิด ปมผูกขาดธุรกิจสินค้าปลอดอากร – อาหารในสนามบินราคาสูง
พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ รักษาการประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า พอใจการทำงานของผู้ตรวจการแผ่นดินในรอบปี 2560 ที่ผ่านมา เพราะมีความสำเร็จในหลายเรื่อง เช่น การแก้ไขปัญหาที่ดิน ส.ป.ก.ที่ อำเภอโคกไทย จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งได้รับความร่วมมือจากงสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) และหน่วยงานในพื้นที่ แต่มีอีกหลายเรื่องที่ไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานของรัฐ เช่น การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่ปัจจุบันใช้เส้นทางขนส่งมอร์เตอร์เวย์ในการขนส่งสินค้าไปยังท่าเรือแหลมฉบัง-มาบตาพุด ที่วันธรรมดาก็มีความหนาแน่ของการจราจรอยู่แล้ว การขนส่งอาจจะทำได้ไม่ทันเวลา จึงให้กระทรวงคมนาคมไปพิจารณาให้แน่นอนว่าการขนส่งสินค้าไปยังพื้นที่ภาคตะวันออกที่มีการเจริญเติบโตสูง จะแก้ปัญหาอย่างไร ซึ่งยังคงรอคำตอบจากกระทรวงคมนาคม
พล.อ.วิทวัส กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าในสนามบินของบริษัท การท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ซึ่งผู้ตรวจฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและมีหนังสือแจ้งขอให้แก้ไขปัญหาดังกล่าว เนื่องจากถูกร้องเรียนว่ามีการขายอาหารและเครื่องดื่มในราคาสูง แต่ก็ยังไม่ได้รับความร่วมมือและรู้สึกว่าไม่ได้ยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนเท่าที่ควร รวมถึงการผู้ขาดธุรกิจสินค้าปลอดอากร โดยพยายามที่จะปกป้องผลประโยชน์ของเอกชนมากเกินสมควร ทั้งที่หลังจากประชาชนซื้อสินค้าแล้วจะต้องปฎิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายศุลกากร รวมทั้ง ทอท.ไม่มีอำนาจที่จะผูกขาดธุรกิจสินค้าปลอดอากร แต่ที่ผ่านมาเรามีหนังสือให้ไปแก้ไข ก็พยายามบ่ายเบี่ยง ซึ่งผู้ตรวจฯ เห็นว่า ทอท.ควรเปิดให้ธุรกิจสินค้าปลอดอากรเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขัน และตั้งอยู่ภายนอกท่าอากาศยาน เมื่อนักท่องเที่ยวซื้อสินค้าแล้ว และไปรับสินค้าในท่าอากาศยานได้ ทอท.จึงควรเปิดพื้นที่ในท่าอากาศยานให้มีจุดรับสินค้า ซึ่งในเรื่องนี้ไม่ได้เป็นการไปขอหรือเบียดบังพื้นที่ของเจ้าของสัปทานเดิม โดยเรื่องนี้ได้หารือกับศุลการกรแล้วก็พร้อมที่จะส่งเจ้าหน้าที่มาทำหน้าที่ตรวจและส่งสินค้าให้นักท่องเที่ยง เพียงแต่ ทอท.ไม่เปิดพื้นที่ให้ ทั้งนี้หากทำสำเร็จจะมีรายได้ และเป็นส่งเสริมให้มีการแข่งขัน
“เชื่อว่าการเปิดพื้นที่และการเปิดให้มีการแข่งขันธุรกิจสินค้าปลอดอาการ จะไม่กระทบต่อธุรกิจสินค้าปลอดอากรรายเดิมที่เป็นเจ้าใหญ่ เพราะบริษัทเกิดใหม่คงจะสู้รายใหญ่เดิมไม่ได้อยู่แล้ว แต่จะทำให้รัฐมีรายได้ และมีผู้ประกอบการรายใหม่เพิ่มขึ้น เราสามารถขายสินค้าได้ทั่วประเทศ นักท่องเที่ยวมีความสะดวกสบายและมีทางเลือกมากขึ้น” พล.อ.วิทวัส กล่าว
พล.อ.วิทวัส กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีรัฐธรรมนูญใหม่ และ พ.ร.ป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินมีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งได้มีการกำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจฯ ให้มีความชัดเจนมากขึ้นในเรื่องการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้สามารถเอาผิดหน่วยงานของรัฐที่ทำให้เกิดความเสียหายกับประชาชน โดยสามารถสอบวินัยและส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการ ดังนั้นกรณี ทอท. ผู้ตรวจฯ จะทำหนังสือเพื่อให้ ทอท.เร่งดำเนินการแก้ปัญหา แต่หากไม่มีการดำเนินการใด ๆ เพื่อให้คำวินิจฉัยมีสภาพบังคับ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยผู้ตรวจฯ ฉบับใหม่กำหนด ผู้ตรวจฯ ก็สามารถส่งเรื่องไปให้ ป.ป.ช.ดำเนินการ ขณะเดียวกันจะทำรายงานเสนอไปยัง สนช. และเปิดเผยให้ประชาชนทราบ ซึ่งถือว่าเป็นการทำให้เกิดโซเชียลแซงชั่น
พล.อ.วิทวัส กล่าวด้วยว่า การที่ พ.ร.ป.ว่าด้วยผู้ตรวจฯ ฉบับใหม่กำหนดให้คำวินิจฉัยของผู้ตรวจฯ มีสภาพบังคับ ทางผู้ตรวจฯ ไม่ได้ต้องการที่จะนำไปสู่การดำเนินการทางวินัยกับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไม่ปฎิบัติตามคำวินิจฉัย เราอยากเห็นการขี้แจงและแก้ไขมากกว่า ซึ่งก็ได้ให้นโยบายกับเลขาฯ สำนักงานผู้ตรวจฯ ว่าหลังกฎหมายใช้บังคับขอให้มีการจัดประชุมร่วมกันหน่วยราชการ เพื่อที่จะทำความเข้าใจว่าหลังจากที่ผู้ตรวจฯ มีคำวินิจฉัยในเรื่องใดแล้ว หน่วยงานนั้นจะมีขั้นตอนในการทำตามคำวินิจฉัยอย่างไร เพราะถ้าไม่ทำแล้วประชาชนไปร้องว่าหน่วยราชการไม่ทำตาม หน่วยงานนั้นก็จะต้องถูกดำเนินการในทางกฎหมาย นอกจากนี้ยังมีข้อดีที่ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอแก้ไขขั้นตอนในระบบราชการที่เห็นว่ามีปัญหา ซึ่งถือว่าเป็นการบูรณาการการแก้ไขปัญหาระหว่างหน่วยงาน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนของประชาชน
“การใช้อำนาจ เราใช้อย่างระมัดระะวัง ไม่ได้ทำตามกระแสการเมือง เรายึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ผมเชื่อว่าเมื่อเราทำงานโดยปราศจาคอคติ และองค์กรมีความมั่นคงในการใช้ดุลยพินิจ เราก็จะได้รับความร่วมมือจากประชาชน” พล.อ.วิทวัส กล่าว.-สำนักข่าวไทย