ก.แรงงาน 28 ก.ค.-อธิบดีกรมการจัดหางาน เผยทางการกัมพูชาพร้อมมาตรวจสัญชาติในไทยให้แรงงาน 2 กลุ่ม คือกลุ่มบัตรชมพู ที่จ.ระยอง จ่ายค่าธรรมเนียม TD จำนวน 2,350 บาท ได้รับเล่มภายในวันเดียวกัน และกลุ่มไม่มีเอกสารแสดงตน โดยจะออกเป็นเอกสารเดินทาง (TD) เปิดศูนย์ฯในรูปแบบ One Stop Service (OSS) ที่จ.ระยอง สงขลา และกรุงเทพฯ เริ่มดำเนินการเดือน ส.ค.นี้
นายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้แทนฝ่ายไทย เปิดเผยผลการประชุมร่วมกับนายเส็ง ศักดา อธิบดีกรมแรงงาน กระทรวงแรงงานและฝึกอาชีพ แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ผู้แทนฝ่ายกัมพูชา ในการประชุมระดับวิชาการกัมพูชา-ไทย ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-27 กรกฎาคมที่ผ่านมา ณ กระทรวงแรงงานและฝึกอาชีพแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ว่า ฝ่ายไทยได้แจ้งถึงการดำเนินการของศูนย์แรกรับเข้าทำงานและสิ้นสุดการจ้าง จ.สระแก้ว ซึ่งขณะนี้ได้ให้บริการนายจ้าง 7,917 ราย นำแรงงานต่างด้าวเข้ารับการอบรม จำนวน 63,257 ราย และมีการออกใบอนุญาตในรูปแบบ E-work Permit ให้แก่แรงงานนำเข้าระบบ MOU รวมทั้งสิ้น 17,383 ราย
ขณะที่การดำเนินการศูนย์รับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าวตามประกาศกระทรวงแรงงาน ซึ่งให้บริการรับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว ระหว่างวันที่ 24 กรกฎาคม – 7 สิงหาคม 2560 ขณะนี้มีแรงงานกัมพูชาผ่านการลงทะเบียนที่ศูนย์รับแจ้งฯ จำนวนกว่า40,000 คน
สำหรับปัญหาขาดแคลนแรงงานประมงนั้น ฝ่ายไทยมีข้อเสนอให้มีการจัดส่งแรงงานแบบรัฐต่อรัฐ แรงงานได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือนๆ ละ 12,000 บาท ส่งเงินค่าตอบแทนผ่านธนาคาร นายจ้างจะจัดอาหารและที่พักอาศัยที่เหมาะสม มีประกันสุขภาพ มีประกันอุบัติเหตุ และองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) เข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งการจัดส่งแรงงานในรูปแบบนี้ ควรรวมไปถึงการจัดส่งแรงงานกิจการอื่นในสถานประกอบการขนาดใหญ่ที่ต้องการแรงงานจำนวนมากด้วย โดยแรงงานกัมพูชาจะได้รับการคุ้มครองอย่างทั่วถึงเทียบเท่าแรงงานไทย ทำให้ค่าใช้จ่ายในการจัดส่งแรงงานและค่าบริการของบริษัทจัดหางานลดลงอีกด้วย เพราะรัฐบาลบริหารจัดการเอง ทั้งยังลดปัญหานายหน้าเถื่อน หลอกลวงแรงงานกัมพูชาเข้ามาทำงานในประเทศไทย โดยมีบุคคลแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายไทยรับผลประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายจะได้แลกเปลี่ยนข่าวสารกันอย่างใกล้ชิด รวมทั้งตรวจสอบและกวดขันเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาขอให้เจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้มีการตั้งคณะทำงานและจัดประชุมหารือกันเพื่อดำเนินการให้เห็นผลเป็นรูปธรรมต่อไป
ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาชี้แจงขั้นตอนการตรวจสัญชาติแรงงานกัมพูชาที่ทำงานและอาศัยอยู่ในประเทศไทยจำนวน 2 กลุ่มคือ 1)กลุ่มบัตรชมพูจะดำเนินการตรวจสัญชาติที่จังหวัดระยองช่วงต้นเดือนส.ค.นี้ ให้นายจ้างหรือแรงงานชำระค่าธรรมเนียม TD ที่ศูนย์ตรวจสัญชาติจำนวน 2,350 บาท และจะได้รับเล่มภายในวันเดียวกัน 2) กลุ่มไม่มีเอกสารแสดงตน โดยจะออกเป็นเอกสารเดินทาง (TD) เปิดศูนย์ฯในรูปแบบ One Stop Service (OSS) ดำเนินการในประเทศไทย เริ่มที่จังหวัดระยอง สงขลา และกรุงเทพฯ มีบุคลากร 20 ทีมๆ ละ 7 คน พร้อมอุปกรณ์การทำเอกสารเดินทาง
สำหรับความคืบหน้าในการส่งมอบหนังสือเดินทาง (passport : PP) เอกสารเดินทาง (travel document :TD)ให้กับแรงงานกัมพูชา ซึ่งเหลืออยู่ประมาณ 160,000 เล่มนั้น จะใช้ระยะเวลา 100 วันแจกให้กับบริษัทที่มีแรงงาน 70 คนขึ้นไปกว่า 200 แห่ง ซึ่งปัจจุบันฝ่ายกัมพูชามีทีมงาน 4 ทีม แจกได้ 500 เล่มต่อวันและจะเพิ่มอีก 4 ทีม เพื่อให้ดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ที่ประชุมยังหารือเกี่ยวกับแรงงานที่ทำงาน บริเวณชายแดนในลักษณะไป-กลับ หรือตามฤดูกาล โดยฝ่ายกัมพูชาจะเปิดศูนย์ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับศูนย์แรกรับฯ ของไทย ที่ปอยเปต จังหวัดบันเตีย-เมียนเจย โดยมีการฝึกอบรมแรงงานก่อนเดินทางไปทำงานที่ประเทศไทย รับผิดชอบในการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ศูนย์นี้จะออกหนังสือรับรองแรงงานกัมพูชาบริเวณชายแดนลักษณะเช้าไป-กลับ หรือตามฤดูกาล (บัตรแรงงานกัมพูชาในต่างแดน overseas cambodian worker card : OCWC) ใช้คู่กับบัตรผ่านแดน (border pass) ซึ่งแรงงานสามารถข้ามแดนและไปทำงานได้ด้วย มี 7 จังหวัดได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด
นายวรานนท์กล่าวเพิ่มเติมว่า ฝ่ายไทยได้แจ้งให้ฝ่ายกัมพูชาทราบว่าสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของไทย มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ใช้ตรวจสอบบุคคล (immigration card) โดยมีการพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อใช้ตรวจสอบป้องกันปัญหาอาชญากรรม ป้องกันการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองและการค้ามนุษย์ ซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลกับด่านตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศ ดังนั้น หากทั้งสองประเทศได้ทำงานแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งในอนาคต ซึ่งฝ่ายกัมพูชาเห็นด้วยและจะนำไปหารือกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองราชอาณาจักรกัมพูชาต่อไป .-สำนักข่าวไทย