กรุงเทพฯ 16 พ.ค.-พีทีทีจีซี สนองนโยบายรัฐบาล ประกาศลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก
หรือEEC วงเงิน 1.5 แสน ล้านบาท ใน 5 ปีข้างหน้า
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่
(CEO) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ พีทีทีจีซี
กล่าวว่า ในเร็วๆนี้จะเดินทางไปญี่ปุ่น เจรจากับพันธมิตร 2-3 ราย ที่สนใจร่วมลงทุนในวิศวกรรมพลาสติกในพื้นที่โครงการ
อีอีซี ในภาคตะวันออกที่รัฐบาลกำลังสนับสนุน จะมีเม็ดเงินลงทุน สูงมาก
เป็นการตอกย้ำเชื่อมั่นการลงทุน และจะทำให้เม็ดเงินลงทุน ของบริษัทก็จะมากกว่า แผนงานที่ประกาศไว้แล้วว่าจะลงทุนใน
5 ปีข้างหน้า 1.5 แสนล้านบาท เช่น โครงการ Map Ta Phut Retrofit
ที่ทำให้ บริษัทมีทางเลือกในการใช้วัตถุดิบจากแนฟทา
ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่จะลดลง โครงการ PO/Polyol การลงทุนโพลียูรีเทนครบวงจร
สำหรับการป้อนหลากหลายอุตสาหกรรมที่มีความต้องเพิ่มสูงขึ้น 2 โครงการนี้จะลงทุนแล้วเสร็จเริ่มผลิตปี 2563
“ความกังวลว่าจะเกิดวิกฤติก๊าซธรรรมชาติในช่วงปี 64-65 แต่บริษัทเเชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ
เนื่องจากบริษัทมีแผนลงทุนโครงการ Map Ta Phut Retrofit เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน
ซึ่งจะมีการสร้างโรงงานแนฟทาแครกเกอร์ที่มีกำลังการผลิตเอทิลีน 5 แสนตัน/ปี
และโพรพิลีน 2.5 แสนตัน/ปี ซึ่งจะช่วยรองรับผลกระทบดังกล่าวได้ รวมถึง บมจ.ปตท.
(PTT) ยังมีโครงการแยกก๊าซอีเทนจากก๊าซธรรมชาติเหลว ( LNG) หรือ Ethane
Extraction เข้ามาช่วยเสริมด้วย”นายสุพัฒนพงษ์
กล่าว
สำหรับไตรมาส 1/2560 บริษัทฯ
มีรายได้จากการขายรวม 107,149 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2559 จำนวน 26,385
ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 33 และใกล้เคียงกับไตรมาส
4/2559โดยมีสาเหตุหลักจากราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นตามระดับราคาน้ำมันดิบ
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/2560 ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ
ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2559 และ ไตรมาส 4/2559 โดยปัจจัยที่สนับสนุนหลักมาจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ
(Margin) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจอะโรเมติกส์ และผลิตภัณฑ์ Butadiene
ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์พลอยได้จากธุรกิจโอเลฟินส์ รวมทั้งบริษัทฯ
ยังสามารถรักษาการใช้กำลังการผลิตได้ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้าและยังมาจากโครงการ MAX หรือ
โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานทั่วทั้งองค์กรโดยมีเป้าหมายหลักที่จะยกระดับผลประกอบการให้ดีขึ้นได้ในลักษณะต่อเนื่องทุกปี โดยปี 2560 คาดสร้างผลกำไร 3,200 ล้านบาท ปี 2561 วงเงิน 6,000
ล้านบาท และปี 2562 วงเงิน 9,000 ล้านบาท
สำหรับกำไรที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้มีเงินสดในมือราว
6 หมื่นล้านบาท ในส่วนนี้จะนำไปจ่ายปันผลผู้ถือหุ้นราว 1 หมื่นล้านบาท
จ่ายเงินซื้อหุ้น ในสายปิโตรเคมีจาก ปตท.
2.6 หมื่นล้านบาท ตามโครงการรวมมิตร( Asset Injection Project) ปรับโครงสร้างเพื่อความคล่องตัวการลงทุนภายในกลุ่ม
ปตท. ในขณะเดียวกันบริษัทจะรออกหุ้นกู้1 หมื่นล้านบาท ในปีนี้เพื่อนำไปชำระวงเงินพันธบัตรเดิมที่ครบอายุ
ส่วนวงเงินที่เหลือก็เตรียมพร้อมการลงทุนต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน พีทีทีจีซี
ยังมุ่งเน้นขยายธุรกิจในกลุ่มเพื่อนบ้าน ซีแอลเอ็มวี
โดยตั้งเป้าจำหน่ายเม็ดพลาสติก ร้อยละ 10 ของกำลังผลิต หรือ 1.25 แสนตันในปีนี้
นางสาวดวงกมล เศรษฐธนัง
รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี PTTGC กล่าวด้วยว่า บริษัทได้ปรับเป้าหมายรายได้ในปีนี้เป็นเติบโตร้อยละ26 มาที่ 4.4 แสนล้านบาท
จากเดิมคาดว่าจะเติบโตร้อยละ 25
หลังจากไตรมาส 1/60 มีรายได้ที่ดี และไตรมาส 2/60 คาดจะปรับตัวลงไปสู่ระดับต่ำสุดในรอบปี
จากการหยุดซ่อมบำรุงโรงโอเลฟินส์บางโรง และโรงงานอะโรเมติกส์บางโรงเป็นเวลา 45 วัน
ส่งผลให้การใช้กำลังการผลิตโอเลฟินส์อยู่ที่ 90% และอะโรเมติกส์ อยู่ที่ 65% ส่วนโรงกลั่นน้ำมันยังคงเดินเครื่องผลิตเต็มที่
ขณะที่คาดว่าราคาน้ำมันดิบปีนี้อยู่ที่ราว 52-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จาก 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีที่แล้ว ส่วนค่าการกลั่นรวมหรือ
GRM ทั้งปีนี้จะทำได้ระดับ 6.3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จาก 5.3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีที่แล้ว
จากการใช้น้ำมันดิบเบาที่มีราคาถูกทำให้มีต้นทุนถูกลง
และยังได้รับประโยชน์จากโครงการ MAX
และธุรกิจอะโรเมติกส์คาดว่าสเปรดจะเพิ่มขึ้นมาที่
245 เหรียญสหรัฐ/ตัน จาก 232 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีที่แล้ว –สำนักข่าวไทย
