ม.มหิดล ศาลายา 5 พ.ค.-นายกรัฐมนตรีปาฐกถาบทบาทมหาวิทยาลัยไทยต่อไทยแลนด์ 4.0 เชื่อประเทศไทยฟ้าหลังฝนสดใส ย้ำต้องพัฒนาตามความเปลี่ยนแปลงของโลก
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคระรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ปาฐกถาเรื่อง บทบาทของมหาวิทยาลัยไทยต่อไทยแลนด์ 4.0 ที่มหิดลสิทธาคาร มหาวิทยาลัยมหิดลศาลายา ว่า เช้าวันนี้(5 พ.ค.) ฝนตก ฟ้ามืดหม่น ซึ่งเปรียบได้กับประเทศไทยที่มืดหม่นมานาน แต่เชื่อว่าฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ ทั้งนี้ รัฐบาลกำหนดกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 6 ด้าน เพื่อส่งต่อให้รัฐบาลใหม่สานต่อ ซึ่งการเดินหน้าไทยแลนด์ 4.0 เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์
“ที่มาของไทยแลนด์ 4.0 คือเป็นการเดินหน้าประเทศในศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ฉับพลัน มีเทคโนโลยีทันสมัยขึ้น เป็นโลกที่มีความสุดโต่งทั้งซ้ายจัด ขวาจัด แต่ไทยต้องเดินสายกลางในจุดที่เหมาะสม และการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้น จะส่งผลให้เกิดทั้งโอกาสและวิกฤต ทั้งปัญหาความขัดแย้ง การก่อการร้าย โรคระบาดและสภาพภูมิอากาศ ดังนั้น เมื่อโลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับเปลี่ยน พัฒนาทุกด้านไปข้างหน้า และต้องดูแลผู้มีรายได้น้อยให้เท่าเทียม โดยไม่ทิ้งกลุ่มคนในยุค 1.0-3.0 แต่ต้องปรับให้เป็นสมาร์ท 1.0-3.0 เพื่อควบคู่ไปกับการพัฒนาไทยแลนด์ 4.0” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โลกยุคใหม่ หลายประเทศมีนโยบายชาตินิยม แต่ประเทศไทยจะไปอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ ต้องอยู่ในจุดที่เหมาะสม และปัญหาของการเดินหน้าไปสู่ 4.0 คือ ที่ผ่านมาประเทศไทยติดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง กระจายรายได้ไม่ทั่วถึง และมีความความเหลื่อมล้ำ ซึ่งในอนาคตรัฐบาลจะขับเคลื่อนเรื่องเหล่านี้ได้ ต้องได้รับความมือจากประชารัฐและไม่ทิ้งใครไว้วางหลัง เดินหน้าไปพร้อมกัน โดยใช้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ระเบิดจากข้างใน นอกจากนี้ไทยยังติดกับดักประชาธิปไตย จึงอยากให้กลับมาดูเรื่องของสิทธิหน้าที่ทั้งของตนเอง ต่อสังคมและประเทศชาติ
“ที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดบังคับใครและพร้อมรับฟังทุกคน ยืนยันเดินตามโรดแมปที่วางไว้ เลือกตั้งตามเวลาที่กำหนด ผมห่วงอย่างเดียวคือจะกลับเป็นเหมือนเดิม หากต้องการการเปลี่ยนแปลง ขอให้เลือกคนดี อย่าเลือกคนที่ทำให้ประเทศมีปัญหาเหมือนอดีต และแม้จะเกลียดผม แต่ขออย่าเกลียดประเทศไทย”นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีลมพัดต้นไม้หักที่รัฐสภาและเสียงวิจารณ์ว่าเป็นลางร้าย ว่า คงไม่เป็นเรื่องร้ายเหมือนที่มีโหรมาทำนาย อย่ามองให้เป็นเรื่องร้ายทุกเรื่อง ขอให้คนไทยลดความเป็นศิลปิน การใช้อารมณ์ ไม่เช่นนั้นจะเป็นทุกข์มาก เช่นเดียวกับนักศึกษาที่จะต้องมีความขยันและอดทน ศึกษาเล่าเรียน อย่างมีคุณภาพ พร้อมหยอกเย้านักศึกษาที่มาร่วมฟังว่า “สภานักศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหิดลไม่ได้มีปัญหาใช่หรือไม่ ความคิดสุดโต่ง ส่วนตัวไม่ไหว ขี้เกียจไปรบกับเด็ก”
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 ต้องมีจุดมุ่งหมาย มีความคิดสร้างสรรค์ มีจิตสาธารณะ ช่วยเหลือคนในสังคม ขอให้คนที่แสดงความคิดเห็นอย่าใช้ความรู้สึกติติงเพียงอย่างเดียว ต้องให้ความสำคัญกับคนที่คิดและทำแล้วบ้าง ที่ผ่านมาการเดินทางไปต่างประเทศและเจรจากับประเทศต่าง ๆ ได้ยึดหลัก 3 อย่าง คือ ลดความหวาดระแวง สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และผลประโยชน์ที่เท่าเทียม
“ขณะนี้ประเทศไทยมีนโยบายไทยแลนด์บวกหนึ่ง คือลงทุนประเทศไทย และเพิ่มการลงทุนในอาเซียนด้วย จึงจะเกิดความเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น การท่องเที่ยว ต้องเที่ยวได้ทุกฤดู โดยเฉพาะในฤดูฝน เชิญชวนมาดูฝน และฟ้าร้องได้ เพราะบางประเทศไม่มีฝนตก แนวคิดนี้จึงถือเป็นแนวคิดใหม่ ทำใหม่” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้ตระหนักเรื่องสังคมผู้สูงวัยในอนาคต ที่จะมีอัตราเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่วัยแรงงานมีสัดส่วนน้อยลง ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงาน เพราะแรงงานต่างด้าวต้องเดินทางกลับต่างประเทศ ขณะที่อัตราการเกิดลดลงเพราะสังคมเปลี่ยนไป หลายคนมีความคิดไม่อยากแต่งงาน ไม่อยากมีลูก เพราะเกรงเรื่องมีคนมาแชร์การใช้ชีวิตของตนเอง จึงขอให้มหาวิทยาลัยหาแนวทางปรับแนวคิดและผลิตบุคคลากรที่มีคุณภาพ สร้างสังคมอุดมปัญญามารองรับประเทศไทยยุค 4.0 ที่ต้องการผู้ประกอบการและการคิดค้น นวัตกรรมใหม่ ๆ
“นโยบายสำคัญของรัฐบาลคือต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพ ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยทุกเเห่งต้องสามัคคีกัน ร่วมกันคิดค้นสิ่งใหม่ เป็นมหาวิทยาลัยของชุมชน ยกปัญหาความขัดแย้งไว้ก่อน ที่สำคัญครู อาจารย์ ต้องถ่ายทอดสิ่งที่หลากหลาย ให้กับนักศึกษา” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี ใช้โอกาสนี้ชี้แจงเรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับการนำเงินภาษีของประชาชนไปใช้ว่า กองทัพมีความจำเป็นต้องพัฒนาศักยภาพ เพื่อปกป้องดูแลประเทศ งบประมาณที่นำมาใช้ก็เป็นในส่วนของกองทัพ ไม่ใช่งบประมาณช่วยเหลือประชาชน และว่า “หากจะโจมตีหรือคัดค้านทุกเรื่อง ประเทศก็เดินหน้าไม่ได้ ที่ผ่านมามีหลายโครงการในอดีตที่ล้มเหลวและต้องสูญเงินไปหลายแสนล้านบาท”.-สำนักข่าวไทย