กรมสุขภาพจิต 2 พ.ค.-กรมสุขภาพจิตชวนใช้ 3 ส และสื่อโซเชียลอย่างสร้างสรรค์ ร่วมยับยั้งการทำร้ายตนเอง พร้อมแนะครอบครัวคุยกัน ใช้ภาษา “ฉัน” แทน ภาษา “แก”
น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงพฤติกรรมเลียนแบบ(copy cat) การไลฟ์สดทำร้ายตัวเอง ว่าพฤติกรรมเลียนแบบในกรณีการฆ่าตัวตายไม่ได้เกิดขึ้น กับคนส่วนใหญ่ แต่มีการ ศึกษาพบว่าบุคคลที่เปราะบาง ได้แก่ ผู้มีปัญหามากอยู่แล้วจะเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงที่จะมีโอกาสเลียนแบบได้สูง เพราะอยู่ในสภาวะจิตใจที่ขาดความมั่งคง ซึ่งสื่อหลักและสื่อสังคมจะมีส่วนช่วยได้มาก ด้วยการระมัดระวังในการนำเสนอข่าวหรือการส่งต่อ เนื่องจากเราเลือกไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ ซึ่งหากผู้ที่เปราะบางอยู่แล้วรับข่าวสารนี้ ย่อมเกิดผลกระทบได้มาก การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนจึงขอเน้นว่าอย่าพาดหัวใหญ่ หรืออ้างเหตุผลเดียวง่ายๆ ตลอดจน ต้องให้ความรู้และแหล่งให้ความช่วยเหลือ บริการด้วย
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อไปว่า เช่นเดียวกับสื่อโซเชี่ยล ก็ไม่ควรส่งต่อเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งหากผู้มีความเปราะบางทางจิตใจมาพบเห็น อาจจะด่วนสรุปว่าการฆ่าตัวตายเป็นทางออกของปัญหา เกิดผลไม่ดีตามมาเช่นเดียวกัน สิ่งที่ควรทำ คือขออย่าเพิกเฉยหรือนิ่งนอนใจ ไม่ว่าการกระทำดังกล่าวจะด้วยเหตุผลการประชดประชัน หรือเรียกร้องความสนใจใดๆก็ตาม ให้ใช้ความทันสมัยและความรวดเร็วของสื่อสังคมให้การช่วยเหลือผู้ก่อเหตุ พูดคุยประวิงเวลา ให้ฉุกคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา ตลอดจนรีบติดต่อเจ้าหน้าที่หน่วยฉุกเฉินให้เข้าไปแทรกแซงสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม การป้องกันที่ดีที่สุด คือการป้องกันแต่ต้นทาง โดยใช้ หลัก 3 ส เพื่อช่วยให้กลุ่มเสี่ยงได้เข้าสู่ระบบบริการก่อนที่จะมาเป็นปัญหาในการไลฟ์สด ได้แก่ 1.สอดส่องมองหา ผู้ใกล้ชิดที่มีสัญญาณของการฆ่าตัวตาย คือผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า ผู้ที่มีประวัติพยายามฆ่าตัวตายและผู้ที่แสดงถึงความต้องการฆ่าตัวตาย , 2.ใส่ใจรับฟัง คนรอบข้างที่มีความเสี่ยง อย่าคิดว่าพวกเขาไม่ทำจริง เมื่อคุยแล้วจะทำให้รู้ถึงความรุนแรงของปัญหาของพวกเขา และ 3.ส่งต่อเชื่อมโยง ให้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตช่วยดูแล หากการพูดคุยเจรจากับผู้มีความเสี่ยงไม่ได้ผล
สำหรับผลกระทบกับเด็กที่ตกอยู่ในเหตุการณ์นั้น อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า เด็กที่อยู่ในเหตุการณ์รุนแรงทุกชนิด ไม่ว่าจะด้วยการเห็น หรือเป็นผู้ถูกกระทำ ล้วนเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องได้รับการช่วยเหลือทั้งสิ้น ตั้งแต่การประเมินจิตใจ การประเมินสภาวะครอบครัว หากมีความรุนแรงสูงเด็กจะมีปัญหาได้ทั้งทางอารมณ์และพฤติกรรม อารมณ์ส่วนใหญ่จะแสดงออก มาในรูปแบบความวิตกกังวล หรือซึมเศร้า ส่วนพฤติกรรมมักจะเป็นแบบแยกตัว หรือก้าวร้าวรุนแรง ผู้ใกล้ชิด เช่น ญาติ ครู จึงมีบทบาทสำคัญยิ่ง ที่จะสังเกตและช่วยเหลือพวกเขา ด้วยหลัก 3 ส
อย่างไรก็ตามผู้ที่ทำร้ายตนเองมักมีสาเหตุที่ซับซ้อน ส่วนใหญ่มักไม่เกิดจากปัญหาง่ายๆ และมักมีสัญญาณเตือนล่วงหน้า อาจมีปัญหาอารมณ์ในการควบคุมตัวเอง ดื่มสุรา มีความขัดแย้งในครอบครัว หนี้สิน เป็นต้น และหลายเหตุการณ์ของการทำร้ายตนเองที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากปัญหาสัมพันธภาพในครอบครัว เป็นปัญหาของการสื่อสาร จึงควรหาเวลาสงบๆ พูดกันอย่าหาทางออกด้วยการทำร้ายตนเองหรือทำร้ายผู้อื่น เมื่อมีอารมณ์ทางลบ ขุ่นมัวหรือโกรธเคืองใด ๆ ขอให้บอกหรือแชร์ความรู้สึกตนเองต่อความสัมพันธ์นั้น มากกว่าพูดถึงพฤติกรรมอีกฝ่าย ควรใช้ภาษา“ฉัน” แทน ภาษา“แก” เช่น ฉันกังวลที่เงินเราไม่พอใช้ มากกว่าทำไมเธอใช้เงินเปลือง
ทั้งนี้ ถ้าพูดคุยกันแล้วยังไม่เข้าใจ ควรให้ญาติที่นับถือ หรือผู้ใหญ่ในชุมชน พระ/ผู้นำศาสนา ช่วยให้ข้อคิด ตลอดจนขอรับบริการด้านสุขภาพจิต ได้ที่ สายด่วนสุขภาพจิต 1323 รพ.ชุมชน รพ.จังหวัด และ รพ.จิตเวชทุกแห่งทั่วประเทศ .-สำนักข่าวไทย