อัยการแถลงข้อเท็จจริงการพิจารณาคดี “บอส อยู่วิทยา”

สำนักข่าวไทย 4 ส.ค. 63 – สำนักงานอัยการสูงสุด แถลงข่าวผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะทำงานตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดี นายวรยุทธ อยู่วิทยา เวลา 10.00 น. วันที่ 4 สิงหาคม 2563 แจงทุกประเด็นสำคัญ กระบวนการทำงานและพยานหลักฐาน ยืนยันทำคดีให้กระจ่าง ทำความจริงให้ปรากฏ จะถือว่าคดีมันจบไปไม่ได้ จะทำความเห็นส่ง อัยการสูงสุดเพื่อทำคดีใหม่ ก่อนหน้านี้ไม่มีการนำตัวเลขความเร็ว 177 กม/ชม. (ผู้เชี่ยวชาญจุฬา)เข้าไปในสำนวน ซึ่งคือหลักฐานใหม่ คำสั่งไม่ฟ้องไม่ได้แปลว่าไม่ทำผิด ระหว่างนี้ถ้ามีพยานหลักฐานใหม่ เข้ามาได้ตลอด พนักงานสอบสวนต้องไปดูพยานหลักฐานใหม่ ส่วนเรื่องสารเสพติดกำลังตรวจสอบใหม่เช่นกัน คดียังไม่จบ เหลืออายุความอีก 7 ปี และไม่ใช่การรื้อฟื้นคดี ดำเนินคดีข้อหาเดิมขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย สรุปแม้จะมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง แต่คดียังไม่จบ ไม่ใช่การรื้อฟื้นเพราะคดียังไม่เบ็ดเสร็จ เมื่อกฎหมายบอกว่าภายในอายุความเหลือ 7 ปี ส่วนโคเคนยังไม่แจ้ง แต่จะดำเนินการควบคู่กันไป.-สำนักข่าวไทย

“เชาว์” แนะนายกฯ โอนคดี “จารุชาติ” ให้ดีเอสไอ

กรุงเทพฯ 3 ส.ค.-“เชาว์” แนะนายกฯ สั่งโอนสำนวนคดี “จารุชาติ” พยานปากเอกคดี “บอส อยู่วิทยา” ให้ดีเอสไอ ทำแทนตำรวจ เหตุมีส่วนได้เสีย หวั่นความน่าเชื่อถือติดลบ นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่อง คดีการตายของนายจารุชาติ มาดทอง ต้องโอนคดีให้ดีเอสไอดูแล มีเนื้อหาระบุว่า เรื่องนี้เต็มไปด้วยข้อสงสัยหลังนายจารุชาติ มาดทอง พยานคดีนายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ แต่สังคมเชื่อว่าน่าจะเป็นการตายที่ผิดธรรมชาติ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าอาจมีการฆ่าตัดตอนในทางคดี เพราะเกรงว่าหากถูกเค้นหนัก พยานอาจเปลี่ยนแปลงคำให้การได้ ซึ่งในขณะนี้ นายกรัฐมนตรีมีการสั่งอายัดศพเพื่อให้มีการชันสูตรพลิกศพสืบหาการเสียชีวิตอย่างละเอียดรอบคอบ แต่ทำแค่นี้ ยังไม่พอ ควรมีการส่งต่อให้ดีเอสไอเป็นผู้รับผิดชอบแทนตำรวจ เนื่องจากขณะนี้ถือว่าตำรวจกลายเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพราะผู้เสียชีวิตเป็นพยานปากเอกที่ทำให้เกิดการพลิกคดีบอส อยู่วิทยา เปลี่ยนจากฟ้องเป็นไม่ฟ้อง ไม่ว่าผลสรุปของคดีจะทำอย่างเที่ยงตรงเพียงใด แต่ความน่าเชื่อถือที่ติดลบจะทำให้เกิดปัญหาคลางแคลงใจอย่างแน่นอน “ทางที่ดีที่สุดควรโอนคดีนี้ไปให้ดีเอสไอสอบสวนต่อ เพราะถือว่าเป็นองค์กรที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับคดี แตกต่างจากตำรวจที่กำลังตกเป็นจำเลยของสังคมอยู่ในเวลานี้ การสอบสวนเพื่อค้นหาสาเหตุการตายของนายจารุชาติ อยู่ในสายตาของประชาชนที่ติดตามอย่างใกล้ชิด ต้องทำอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งจะเป็นอีกหนทางหนึ่งในการช่วยรักษาระบบยุติธรรมตั้งต้นให้ดำรงอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ผมจึงขอฝากถึงท่านนายกรัฐมนตรีว่าเมื่อท่านก็มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายจารุชาติ เอื้อมมือเข้ามาสั่งการให้มีการอายัดศพเพื่อชันสูตรกันใหม่แล้ว […]

สูตรคำนวณ 2 แบบ ยันความเร็วรถ “บอส อยู่วิทยา” 177 กม./ชม.

เรื่องความเร็วของรถเฟอร์รารี่ที่ “บอส อยู่วิทยา” ใช้ มีการถกเถียงกันและนำมาซึ่งหลักฐานใหม่ที่ทำให้อัยการไม่สั่งฟ้อง วันนี้ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยพาไปตรวจสอบสูตรคำนวณจากผู้เชี่ยวชาญด้านฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ที่คำนวณความเร็วรถออกมาตรงกันที่ 177 กม./ชม. ซึ่งขัดกับข้อมูลใหม่ที่บอกว่าความเร็วเพียง 76 กม./ชม. ติดตามจากรายงาน

แจ้งข้อหา “ขับรถประมาทฯ” กับคู่กรณีขี่ จยย.ชนพยาน “คดีบอส” เสียชีวิต

ตำรวจแจ้งข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายกับคู่กรณีขี่รถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ของ “จารุชาติ” พยานสำคัญคดีบอส

คู่กรณี “จารุชาติ” พยานปากเอกคดี “บอส” ยันไม่ได้รับงานใคร

เชียงใหม่ 30 ก.ค.-ตำรวจคุมตัวคู่กรณีขับรถเฉี่ยว จยย. “จารุชาติ” พยานปากเอกคดี “บอส” มาสอบปากคำ ลั่นเป็นฝ่ายถูกชน ไม่เคยรู้จักผู้ตาย และไม่ได้รับงานใครมา ด้าน ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ขอเวลาตรวจสอบเพื่อคลายทุกข้อสงสัย ภาพจากกล้องวงจรปิดบันทุกเหตุการณ์ที่นายจารุชาติ มาดทอง อายุ 40 ปี พยานปากสำคัญในคดีของนายวรยุทธ อยู่วิทยา กำลังขี่รถจักรยานยนต์ จากนั้นได้มีคู่กรณีเฉี่ยวชนท้าย เหตุเกิดบนถนนห้วยแก้ว มุ่งหน้าไปยังคูเมือง อำเภอเมืองเชียงใหม่ เวลาประมาณ 01.00 น.ที่ผ่านมา จากนั้นรถจักรยานยนต์ของนายจารุชาติ เสียหลักล้มกลางถนน จนศีรษะได้รับการกระทบกระเทือน ส่วนคู่กรณีได้เสียหลักไปชนกับขอบเกาะกลางถนน หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่มูลนิธิ ได้นำตัวทั้งนายจารุชาติ และนายสมชาย ตาวิโน คู่กรณีส่งโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ พบอาการของนายสมชาย บาดเจ็บเล็กน้อย แต่นายจารุชาติ บาดเจ็บที่ศีรษะและเสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาล พ.ต.อ.รณชัย รอดลอย ผู้กำกับการ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ผู้กำกับการ เผยจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดและจำลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พบว่านายจารุชาติ ขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ ส่วนนายสมชาย คู่กรณี ขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า ดรีม เบื้องต้นทราบว่านายจารุชาติไปดื่มสุรา และทั้งคู่ขี่รถมาตามถนนนิมมานเหมินทร์ […]

อ.อ๊อด ชี้ Cocaethylene ไม่เกี่ยวกับโคเคนทางทันตกรรม

กรุงเทพฯ 30 ก.ค.-อ.อ๊อด ชี้ Cocaethylene ที่ตรวจพบในเลือดเกิดจากการเสพโคเคนร่วมกับแอลกอฮอล์ ไม่เกี่ยวกับโคเคนรักษาฟัน หลังพนักงานสอบสวนคดี “บอส” แจงเหตุไม่แจ้งข้อหายาเสพติด เพราะทันตแพทย์ยันสารโคเคนเกิดจากยารักษาฟัน ภายหลังคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร นำโดยนายนิโรธ สุนทรเลขา ประธานกรรมาธิการฯ แถลงผลการเชิญพนักงานสอบสวน ชี้แจงคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555 ซึ่งกรรมาธิการฯ ได้ซักถามในประเด็นการตั้งข้อหาของพนักงานสอบสวน 5 ข้อกล่าวหา นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ โฆษกกรรมาธิการ เปิดเผยว่า ข้อสงสัยสำคัญที่กรรมาธิการได้ซักถามพนักงานสอบสวนคือเหตุใดไม่มีการแจ้งข้อหาพบสารแปลกปลอมที่เกิดจากยาเสพติดในร่างกายของผู้ต้องหาทั้งที่มีผลตรวจทางนิติเวชวิทยายืนยันจากการตรวจเลือดของนายวรยุทธ โดยพนักงานสอบสวนได้ให้เหตุผลที่ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาในคดีนี้ว่า มีทันตแพทย์ยืนยันว่าได้ให้ยาที่มีส่วนผสมของโคเคนในการรักษาทำฟัน ซึ่งเมื่อดื่มแอลกอฮอร์เข้าไปผสมจะทำให้เกิดสารแปลกปลอมดังกล่าวในร่างกาย ทำให้ไม่สั่งฟ้องเรื่องสารเสพติด ล่าสุด รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรือ อาจารย์อ๊อด อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า “Cocaethylene ที่ตรวจพบในเลือดเกิดจากการเสพโคเคนร่วมกับแอลกอฮอล์ ไม่เกี่ยวกับโคเคนรักษาฟัน” และชี้ว่า “โคเคนที่ใช้เป็นยาชาเฉพาะที่ใช้ในงานทันตกรรม คือ คือ Lidocaine หมอใช้ปริมาณน้อย ต่างจากตัวที่ตรวจพบในเลือด”.-สำนักข่าวไทย

“สิระ” เตือน “บอส” ไม่มาแจง กมธ.เกิน 2 ครั้ง ออกคำสั่งเรียก-ดำเนินคดี

ลั่น กมธ.จะลุยพิสูจน์ให้ได้ เตรียมไลฟ์สดการประชุม 5 ส.ค. นี้ เชิญผู้เกี่ยวข้อง ทั้งอัยการ-ตำรวจ-“บอส”-ทนาย มาแจง

1 2 3
...