กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – กรมควบคุมโรค เตือนเฝ้าระวังโรคไข้ฉี่หนู ซึ่งมักระบาดมากในช่วงฤดูฝนและมีน้ำท่วมขัง เผยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-12 ก.ย.64 พบผู้ป่วยแล้ว 635 ราย เสียชีวิต 4 ราย
กรมควบคุมโรค เผยแพร่ “พยากรณ์โรคและภัยสุขภาพรายสัปดาห์” ฉบับที่ 33/2564 ประจำสัปดาห์ที่ 38 (วันที่ 19-26 ก.ย.64)
จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์ของโรคเลปโตสไปโรสิส หรือโรคไข้ฉี่หนู ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 12 กันยายน 2564 พบผู้ป่วย 635 ราย เสียชีวิต 4 ราย กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด คือ 35-44 ปี รองลงมา คือ 45-54 ปี และอายุ 25-34 ปี ตามลำดับ ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ โดยจังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อแสนประชากรสูงสุด 5 อันดับแรก คือ ระนอง พัทลุง พังงา ยะลา สงขลา ส่วนใหญ่ประกอบชีพเกษตรกร ร้อยละ 31.7
“การพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพของสัปดาห์นี้ คาดว่าในช่วงนี้จะมีโอกาสพบผู้ป่วยโรคเลปโตสไปโรซิส หรือโรคไข้ฉี่หนู เพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงนี้มีฝนตกในหลายพื้นที่ของประเทศ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังและสภาพพื้นดินเปียกชื้น โรคเลปโตสไปโรสิส (Leptospirosis) หรือโรคไข้ฉี่หนู มักมีการระบาดมากในช่วงฤดูฝนและมีน้ำท่วมขัง โดยเชื้อจะถูกปล่อยออกมากับปัสสาวะของสัตว์ที่ติดเชื้อ โดยเฉพาะหนู และมักปนเปื้อนอยู่ในแหล่งน้ำขังหรือที่ชื้นแฉะ ทำให้ประชาชนเสี่ยงต่อการสัมผัสและได้รับเชื้อโรคดังกล่าว โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกร หรือผู้ที่มีการเดินลุยน้ำย่ำโคลนหรือแช่น้ำเป็นเวลานาน โดยเชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล รอยถลอกตามผิวหนัง เยื่อบุตา จมูก ปาก หรืออาจเข้าทางผิวหนังที่แช่น้ำเป็นเวลานาน นอกจากนี้ ยังอาจติดต่อได้จากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน
กรมควบคุมโรค ขอแนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลน หรือสัมผัสน้ำที่ท่วมขังโดยตรง หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น การทำเกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ ทำความสะอาดบ้านหลังน้ำลด ควรสวมอุปกรณ์ป้องกัน อาทิ รองเท้าบู๊ท ถุงมือยาง กรณีที่สัมผัสถูกน้ำในระหว่างทำกิจกรรม ให้รีบทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำสบู่และเช็ดให้แห้ง รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ควรล้างผัก ผลไม้ ให้สะอาดก่อนนำมารับประทาน กำจัดหนูและรังโรคในบริเวณที่อยู่อาศัย สถานที่ทำงาน และแหล่งท่องเที่ยว สำหรับผู้ที่มีประวัติเสี่ยงแช่น้ำ ย่ำดินโคลน หรือบุคคลทั่วไป หากพบว่ามีอาการป่วยด้วยไข้เฉียบพลัน ปวดศีรษะรุนแรง หนาวสั่น ตาแดง ปวดกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง โดยเฉพาะที่น่องและโคนขา ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว พร้อมแจ้งประวัติการสัมผัสน้ำให้แพทย์ทราบ หากเข้ารับการรักษาล่าช้า อาจเกิดอาการตับวาย ไตวาย และเสียชีวิตได้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422.” – สำนักข่าวไทย