“ประเสริฐ” ประชุม กนช. สั่งตั้งคณะวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์น้ำปี 67

ทำเนียบ 11 ต.ค.-“ประเสริฐ” รองนายกฯ ประชุม กนช. สั่งตั้งคณะอนุกรรมการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์น้ำ ปี 2567 สนับสนุนงาน ศปช. เร่งช่วยเหลือประชาชนพ้นวิกฤติน้ำท่วม พร้อมเห็นชอบ 8 มาตรการรองรับภัยแล้ง

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(กนช.) ครั้งที่ 4/2567 โดยมีนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการมหาดไทย และนายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมด้วย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมว่า การประชุมวันนี้เป็นครั้งแรก ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติการติดตามการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่มในพื้นที่ภาคเหนือในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งได้รับข้อสั่งการจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด รวมทั้งให้บริหารจัดการน้ำให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชนหรือส่งผลกระทบน้อยที่สุด


นายประเสริฐ กล่าวว่า ปัจจุบันยังมีพื้นที่ประสบปัญหาอุทกภัย 19 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตาก พิษณุโลก นครสวรรค์ สุโขทัย อุดรธานี กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ มหาสารคาม อุบลราชธานี ชัยนาท สิงห์บุรี สุพรรณบุรีอ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และนครปฐม ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งบริหารจัดการน้ำให้กลับคืนสู่ภาวะปกติรวมถึงเร่งเยียวยาผู้ประสบภัย และฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับสู่สภาพเดิมโดยเร็วที่สุด

“เนื่องจากในระยะนี้ประเทศไทยยังมีแนวโน้มที่จะเกิดสถานการณ์น้ำล้นตลิ่ง น้ำหลากเข้าท่วมพื้นที่เปราะบาง และพื้นที่ที่มีความสำคัญด้านเศรษฐกิจ ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์น้ำ ปี 2567 ตามมาตรา 20 แห่ง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 โดยมีเลขาธิการ สทนช. เป็นประธานอนุกรรมการฯ เพื่อทำหน้าที่ ในการวิเคราะห์และประเมินสภาพอากาศ สถานการณ์ฝน สถานการณ์น้ำ สนับสนุนข้อมูลการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้กับ กนช. และศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) รวมถึงให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อการบริหาร จัดการทรัพยากรน้ำตามหลักวิชาการที่เหมาะสมต่อ กนช. พร้อมทั้งดำเนินการถอดบทเรียนด้านการเตรียมความพร้อมรับมือ สถานการณ์น้ำและอุทกภัยจากอิทธิพลของพายุจรที่ผ่านมาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาแนวทาง การปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป โดยให้รายงานผลการดำเนินงานต่อ กนช. อย่างต่อเนื่อง”นายประเสริฐ กล่าว


นายประเสริฐ กล่าวว่า นอกจากจากการบริหารจัดการน้ำเพื่อเร่งลดผลกระทบต่อประชาชนในช่วงฤดูฝนแล้ว กนช. ยังให้ความสำคัญต่อการเตรียมพร้อมรับมือฤดูแล้งปี 2567/68 ที่จะมาถึงในวันที่ 1 พ.ย. 67 นี้ จึงมีมติเห็นชอบ (ร่าง) มาตรการรองรับ ฤดูแล้ง ปี 2567/2568 ตามที่ สทนช. เสนอ จำนวน 8 มาตรการ ซึ่งนำผลการถอดบทเรียนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฤดูแล้งปีที่ผ่านมา มาปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ให้สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งได้อย่างทันท่วงที โดยแบ่งเป็น 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านน้ำต้นทุน โดยมาตรการที่ 1 คาดการณ์และป้องกันพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ มาตรการที่ 2 สร้างความมั่นคงน้ำ เพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตรพร้อมปฏิบัติการเติมน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ด้านความต้องการใช้น้ำ โดยมาตรการที่ 3 กำหนดแผน จัดสรรน้ำและพื้นที่เพาะปลูกพืชฤดูแล้ง บริหารจัดการน้ำให้เป็นไปตามลำดับความสำคัญการใช้น้ำที่คณะกรรมการลุ่มน้ำกำหนด

มาตรการที่ 4 เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ ประหยัดน้ำและลดการสูญเสียน้ำในทุกภาคส่วน มาตรการที่ 5 เฝ้าระวังและแก้ไข คุณภาพน้ำ ด้านการบริหารจัดการ โดยมาตรการที่ 6 เสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการบริหารจัดการน้ำของชุมชน องค์กรผู้ใช้น้ำ

มาตรการที่ 7 สร้างการรับรู้ประชาสัมพันธ์ และมาตรการที่ 8 ติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน โดยมอบหมายให้ สทนช. แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ดำเนินการตามมติ กนช. และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป


ขณะที่ เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2568 และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับ มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2567/68 พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้ สทนช. ทราบทุกเดือน จนกว่าจะสิ้นสุดฤดูแล้ง เพื่อให้การ ขับเคลื่อนมาตรการเป็นไปตามแผนและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ ให้คณะกรรมการลุ่มน้ำนำมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2567/68 ไปดำเนินการร่วมกับแผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำแล้งของลุ่มน้ำ ปี 2567/68 และให้หน่วยงานเตรียมแผนงานโครงการ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2568 ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันต่อสถานการณ์ซึ่ง สทนช. จะติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด.-316.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผจก.ปัดตอบอาการ “ติ๊ก ชีโร่” โบ้ยให้ถามภรรยา

ผจก.ส่วนตัว “ติ๊ก ชีโร่” ปัดตอบอาการ อ้างต้องถามภรรยา ส่วนที่เกิดเหตุพบเศษชิ้นส่วนรถ และกองเลือดผู้เสียชีวิต พบลักษณะการจอดอยู่บนเส้นทึบ

นักร้องดัง “ติ๊ก ชิโร่” ซิ่งรถตู้ชน จยย.ดับ 1 สาหัส 1

นักร้องดัง “ติ๊ก ชิโร่” ซิ่งรถตู้พุ่งชนรถจักรยานยนต์ของ 3 พี่น้อง บนสะพานข้ามถนนเทพรักษ์ เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บสาหัส 1 ราย เจ้าตัวยืนรอมอบตัวกับตำรวจ เผยไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น

ธุรกิจขายตรง

ชำแหละธุรกิจขายตรงยักษ์ใหญ่-ดาราดังมีเอี่ยว

ผู้เสียหายลั่น “หมดตัวเพราะขายตรง” แฉธุรกิจขายตรงยักษ์ใหญ่ ชวนลงทุนแต่ทำกำไรไม่ได้จริง พบมีดาราระดับเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทยเป็นผู้บริหาร ด้าน ปคบ. เร่งตรวจสอบโมเดลธุรกิจ

ทอ.สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริง ข่าวกำลังพลรับสินบนข้ามชาติ

ทอ. สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีมีการเผยแพร่เอกสารต่างประเทศ ซึ่งมีเนื้อหาอ้างถึงการให้สินบนแก่กำลังพลของกองทัพและเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานภาครัฐ

ข่าวแนะนำ

“มิน พีชญา” ยันเป็นแค่พรีเซนเตอร์ ไม่มีหุ้น ขอยุติสัญญากับดิไอคอน

นางเอกสาว “มิน-พีชญา” สะอื้นหน้าเศร้า ยกมือไหว้ขอโทษ เสียใจกับผู้เสียหายทุกคน ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยันรับจ้างเป็นพรีเซนเตอร์และพีอาร์เท่านั้น ไม่ได้เป็นหุ้นส่วน ขอยุติรับงานกับดิไอคอนทั้งหมด ขอยืนข้างประชาชน โทษตัวเองที่ตรวจสอบบริษัทได้ไม่ดีพอ

สคบ.บุกตรวจ “ดิไอคอน กรุ๊ป” เก็บหลักฐานธุรกิจออนไลน์

สคบ.บุกตรวจบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป เก็บหลักฐานธุรกิจขายออนไลน์ หลังมีผู้ร้องเรียนจำนวนมาก ขณะมีตัวแทนขายสินค้าเข้ามารับสินค้าเพิ่ม บอกทำมา 1 ปี สินค้าขายดี และได้เลื่อนระดับเป็นซูเปอร์ไวเซอร์แล้ว

ไทยเนื้อหอมเวทีอาเซียน

“นายกฯ แพทองธาร” ทำไทยแลนด์เนื้อหอม ผงาดเวทีอาเซียน

สรุป 10 ภารกิจ วันที่ 2 ของการประชุมสุดยอดอาเซียน “นายกฯ แพทองธาร” ทำไทยแลนด์เนื้อหอม หลายประเทศคู่เจรจา พร้อมขยายการค้า การลงทุน ความมั่นคงด้านอาหาร อุตสาหกรรมใหม่ แก้ปัญหาข้ามแดน มั่นใจไทยแลนด์ผงาดเป็นเสือตัวที่หนึ่งบนเวทีอาเซียน