ไทย ลำดับ 6 จุดหมายที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยและทำงานมากที่สุดในโลก

ทำเนียบ 5 ก.ค.-โฆษกรัฐบาล เผยข่าวดีต่อเนื่องการท่องเที่ยวไทย ได้รับการจัดอันดับจาก CNBC ให้เป็นจุดหมายที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยและทำงานมากที่สุดในโลกลำดับที่ 6 สำหรับกลุ่ม Expat รวมทั้ง นายกฯ เร่งขับเคลื่อนให้ไทยเป็นจุดหมายการลงทุนที่น่าสนใจต่อยอดด้วยสร้างสิ่งแวดล้อมให้ไทยเป็นประเทศน่าอยู่ของต่างชาติ

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า แนวโน้มความนิยมชมชอบในการเดินทางเข้ามาพักอาศัยและทำงานในต่างประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติมีมากขึ้น โดยจากการเปิดเผยของสำนักข่าว CNBC ในรายงานจาก Expat Insider ของ InterNations ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของกลุ่ม Expat ที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยและทำงานมากที่สุดในโลกลำดับที่ 6 จาก 53 อันดับทั่วโลกประจำปี 2024


นายชัย กล่าวว่า รายงานดังกล่าวเป็นการสำรวจความคิดเห็นประชาชนจำนวนกว่า 12,500 คน ในเดือนกุมภาพันธ์ เกี่ยวกับความพึงพอใจต่อการใช้ชีวิตในต่างประเทศ และนำมาจัดอันดับจาก 53 ประเทศทั่วโลก จาก 5 ดัชนี ได้แก่ คุณภาพชีวิต ความสะดวกในการปรับตัว การทำงานในต่างประเทศ การเงินส่วนบุคคล และดัชนี “สิ่งจำเป็นสำหรับชาวต่างชาติ” ซึ่งครอบคลุมถึงที่อยู่อาศัย การบริหารจัดการ ภาษา และชีวิตดิจิทัล สำหรับ 10 จุดหมายปลายทางแรกที่น่าอยู่และเหมาะทำงานมากที่สุดในโลกในปี 2024 ได้แก่ 1.ปานามา 2.เม็กซิโก 3.อินโดนีเซีย 4.สเปน 5.โคลอมเบีย 6.ไทย 7.บราซิล 8.เวียดนาม 9.ฟิลิปปินส์ และ 10.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

นายชัย ย้ำว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินหน้าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ภารกิจแรกๆ ในการผลักดันสนับสนุนรายได้จากการท่องเที่ยว เพราะถือเป็นกลยุทธ์แรก ๆ ในการสร้างรายได้ที่ไทยมีศักยภาพสูง สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น เกิดการพัฒนาที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ และสามารถสร้างงานให้กับประชาชนได้จำนวนมาก รวมถึงการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพโดยเฉพาะกลุ่มพำนักระยะยาวให้เข้ามาทำงานในประเทศไทย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเชิงรุก ด้วยการอำนวยความสะดวก การปรับปรุงขั้นตอนการขอวีซ่า และการยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศเป้าหมาย (Visa Free) มาตรการ LTR Visa หรือแม้แต่การจัดทำ Fast Track VISA อำนวยความสะดวกสำหรับผู้เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ (MICE) ยกระดับประเทศให้เป็นสถานที่สำหรับการจัดงานแสดงที่สำคัญในภูมิภาคนี้


“นายกรัฐมนตรี ผลักดันการอำนวยความสะดวกเพื่อการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ติดตามกระแสของกลุ่มนักท่องเที่ยว และใช้โอกาสจากกระแสการทำงานได้จากทุกที่ Work From Anywhere เพื่อให้ไทยเป็นจุดหมายการเข้ามาทำงานของนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ สอดคล้องกับการสนับสนุนการลงทุนในไทย ในขณะเดียวกันก็ได้เร่งพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย อุตสาหกรรมอนาคต ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พัฒนาโครงสร้างให้มีนักลงทุนสนใจลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง” นายชัย กล่าว.-314.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

จำคุกสมรักษ์คำสิงห์

ศาลสั่งคุก 2 ปี 13 เดือน 10 วัน “สมรักษ์” พยายามข่มขืนสาววัย 17

ศาลจังหวัดขอนแก่น พิพากษาจำคุก “สมรักษ์ คำสิงห์” อดีตนักมวยฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก เป็นเวลา 2 ปี 13 เดือน 10 วัน พร้อมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวม 170,000 บาท คดีพยายามข่มขืนเด็กสาววัย 17 ปี

Chinese foreign ministry in January 2025

ถอดบทเรียนจากจีน แก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 จริงจัง

ปักกิ่ง 23 ม.ค. – สถานการณ์ฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่และเร่งด่วนในไทยอยู่ในขณะนี้ หลายฝ่ายกำลังหาทางแก้ไขด้วยการมุ่งไปที่ต้นตอที่ทำให้เกิดฝุ่น จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกระบุว่า ในปี พ.ศ. 2542 ประชากรโลกมากถึง 92% ได้รับฝุ่น PM2.5 ในระดับความเข้มข้นสูงกว่าที่องค์การอนามัยโลกกำหนด และถ้ารัฐบาลทุกประเทศไม่เร่งแก้ปัญหาอย่างเอาจริงเอาจัง ภายในอีก 7 ปีข้างหน้า หรือ พ.ศ. 2573 คุณภาพชีวิตคนทั่วโลกจะยิ่งเลวร้ายสุดขีด เพราะปริมาณ PM2.5 จะเพิ่มขึ้นจากเดิม 50% และประเทศที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า หากรัฐบาลตั้งใจจริงจัง ทุ่มสรรพกำลังความพยายาม จะสามารถกำจัดปัญหาฝุ่นควันพิษได้อย่างแน่นอนนั่นก็คือ จีน   จีนเคยมีคนเสียชีวิตเพราะมลพิษในอากาศปีละหลายล้านคน แต่ทุกวันนี้แม้แต่ธนาคารโลกยังยกย่องจีนว่า เป็นแบบอย่างของความพยายาม สามารถพลิกฟ้าหม่นเพราะฝุ่น PM2.5 ให้กลับเป็นฟ้าใสได้สำเร็จ ความพยายามของเหมา เจ๋อตุง ผู้นำจีนที่มุ่งเปลี่ยนสังคมเกษตรกรรมเป็นสังคมอุตสาหกรรม ทำให้จำนวนโรงงานในจีนเพิ่มขึ้นทวีคูณภายใน พ.ศ. 2502 แน่นอนว่า นโยบายเศรษฐกิจของผู้นำจีนช่วยให้คนจีนหลายล้านหลุดพ้นจากขีดความยากจน แต่ก็ต้องแลกกับชีวิตและสุขภาพ เพราะควันพิษจากโรงงานทำให้ฝุ่น PM2.5 พุ่งในระดับเกินกว่าจะรับไหว กว่ารัฐบาลจะรู้ตัวว่าปัญหามาถึงขั้นวิกฤต […]

คึกคัก คู่รักจูงมือกันไปจดทะเบียนวันแรกกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผล

วันนี้กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการ หลายคู่รักควงแขนไปจดทะเบียนสมรสกันชื่นมื่น ที่สยามพารากอน มีคู่รักที่ลงทะเบียนมาจดทะเบียนสมรสที่นี่กว่า 300 คู่

ผู้ป่วยเสียชีวิต

รพ.สิรินธร ยืนยันไม่มีผู้ป่วยช็อก-เสียชีวิต จากเหตุชายผิวสีคลุ้มคลั่ง

ผอ.รพ.สิรินธร ยืนยันไม่มีผู้ป่วยช็อก หรือเสียชีวิต จากเหตุต่างชาติผิวสีคลุ้มคลั่ง มีเพียงเจ้าหน้าที่ รพ.บาดเจ็บจากการถูกต่อยเล็กน้อย

ข่าวแนะนำ

เปิดรับการลงทุน

นายกฯ ย้ำบทบาทของไทยในเวทีโลก ที่ดาวอส พร้อมเปิดรับการลงทุน

นายกฯ ย้ำบทบาทของไทยในเวทีโลก ที่ดาวอส พร้อมเปิดรับการลงทุนสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ด้วยจุดแข็งด้านเกษตรกรรม Soft Power และอุตสาหกรรมที่มีความยั่งยืน มุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและการค้าเสรี เร่งสร้างสภาพแวดล้อมทางการค้าที่เสรี เปิดกว้าง และยั่งยืน

ช้างหลุดเดินถนน

ระทึก! ช้างหลุดจากปางช้างเดินบนถนน รถเสียหาย 1 คัน

ระทึก! ควาญช้างและตำรวจเร่งติดตามช้างหลุดจากปาง เดินบนถนน ชนกระจกมองข้างรถยนต์เสียหาย 1 คัน สุดท้ายไปเจอเล่นน้ำอยู่ในลำธารอย่างสบายใจ

ฝุ่น กทม.

แดงเกือบทั้งกรุง คุณภาพอากาศวิกฤติ ฝุ่น PM 2.5 กระทบต่อสุขภาพ

คุณภาพอากาศกรุงเทพฯ วิกฤติต่อเนื่อง เช้านี้ฝุ่น PM 2.5 อยู่ระดับสีแดง ผลกระทบต่อสุขภาพ 67 พื้นที่ คุณภาพอากาศจะแย่แบบนี้ไปถึงสัปดาห์หน้า

วันประวัติศาสตร์ สมรสเท่าเทียมวันแรก

วันนี้เป็นวันแรกที่กฎหมายสมรสเท่าเทียม มีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการ ใน กทม. มีการจัดงานวันสมรสเท่าเทียมอย่างยิ่งใหญ่ เฉลิมฉลองให้กับเส้นทางการต่อสู้อันยาวนานกว่าที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ ไม่ว่าเพศใดก็จะได้รับสิทธิการสมรสอย่างเท่าเทียมกัน