กสม. 15 ก.พ.-กสม. หนุนออกกฎหมายนิรโทษกรรมคดีชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ปี 2549 ชี้กำหนดเกณฑ์ผู้ได้รับการนิรโทษกรรมที่ชัดเจน
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่าตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้มีหนังสือขอทราบความเห็นและข้อเสนอแนะต่อร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. …. (ฉบับพรรคครูไทยเพื่อประชาชน) ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติได้ติดตามการเสนอร่างกฎหมายและการพิจารณาร่างกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามาอย่างต่อเนื่อง พบว่า ปัจจุบันมีการเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรม และร่างกฎหมายสร้างเสริมสังคมสันติสุข ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา จำนวน 5 ฉบับ ได้แก่ ร่างกฎหมายของพรรคพลังธรรมใหม่ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคครูไทยเพื่อประชาชน พรรคก้าวไกล และร่างกฎหมายของภาคประชาชน
ต่อมาเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ สภาผู้แทนราษฎรได้เห็นชอบให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ตามที่พรรคเพื่อไทยเสนอ โดยกำหนดกรอบเวลาทำงาน 60 วัน มีนายชูศักดิ์ ศิรินิล เป็นประธานกรรมาธิการ จากการศึกษาร่างกฎหมาย ประกอบหลักสิทธิมนุษยชน กสม. เห็นว่ารัฐมีหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เมื่อปรากฏการละเมิดสิทธิมนุษยชน ผู้ได้รับความเสียหายมีสิทธิเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียมและได้รับการเยียวยาที่เหมาะสม การนิรโทษกรรมจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งในการยุติความขัดแย้งในอดีต ที่สมควรถูกหยิบยกขึ้นมาใช้ในกรณีที่กระบวนการยุติธรรมปกติไม่อาจระงับความขัดแย้งได้ ทั้งนี้การนิรโทษกรรมต้องอยู่ภายใต้หลักสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ
กสม.จึงเห็นว่าร่างกฎหมายว่าด้วยการนิรโทษกรรมของฝ่ายนิติบัญญัติมีเจตนารมณ์ในการนิรโทษกรรมสองรูปแบบ คือ กรณีเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางการเมืองและไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางการเมือง ในกระบวนการร่างกฎหมายนิรโทษกรรมครั้งนี้ มีความมุ่งหมายเพื่อยุติความแตกแยกทางความคิด และความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ก่อนการรัฐประหารในปี 2549 ครอบคลุมการกระทำความผิดอันเกิดจากการชุมนุม การประท้วง การเรียกร้อง การแสดงออก หรือการแสดงความคิดเห็น ที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองหรือเกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งผู้กระทำความผิดมีมูลเหตุจูงใจแตกต่างจากเจตนาในการกระทำผิดทางอาญาในกรณีทั่วไป การกำหนดช่วงเวลาที่จะได้รับการนิรโทษกรรม ควรกำหนดระยะเวลาการนิรโทษกรรมตั้งแต่ปี 2549 ถึงวันที่กฎหมายนิรโทษกรรมมีผลใช้บังคับ
ส่วนกรณีจำเป็นต้องมีคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการให้นิรโทษกรรมในกฎหมาย คณะกรรมการต้องมีความเป็นอิสระ เป็นกลาง และไม่มีส่วนได้เสียในการพิจารณานิรโทษกรรม รวมทั้งเยียวยาผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิด ประเภทความผิดที่สมควรได้รับการนิรโทษกรรม ต้องกำหนดไว้โดยชัดแจ้งในกฎหมายหรือบัญชีท้ายพระราชบัญญัติ ไม่ควรให้คณะกรรมการไปกำหนดประเภทหรือฐานความผิดในภายหลัง เพื่อป้องกันปัญหาการใช้ดุลพินิจและการมีส่วนได้เสียในการให้นิรโทษกรรม ความผิดที่จะได้รับการนิรโทษกรรมจะต้องไม่เป็นความผิดที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เช่น การทรมาน การบังคับบุคคลให้หายสาบสูญ การสังหารนอกระบบ การปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี การวิสามัญฆาตกรรม การสังหารโดยรวบรัดและตามอำเภอใจ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมสงคราม การเอาคนลงเป็นทาส การค้ามนุษย์ และการกระทำรุนแรงที่เป็นการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ
หลังจากนี้ ประธาน กสม.จะมีหนังสือแจ้งความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา เพื่อประกอบการพิจารณาแนวทางในการจัดทำร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมต่อไป.-314.-สำนักข่าวไทย