รัฐสภา 13 ก.ค.-“ชัยธวัช” วอนทุกฝ่ายตั้งสติ ยันก้าวไกลไม่คิดล้มล้างสถาบัน อย่าดึงมาพัวพันกับความขัดแย้งทางการเมือง
นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคก้าวไกล ขอใช้สิทธิพาดพิง โดยอภิปรายว่า คงไม่ต้องอภิปรายถึงเรื่องคุณสมบัติของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพราะตนถือว่า คนทั้งประเทศ รวมถึงสมาชิกรัฐสภา เราต่างได้ใช้วิจารณญาณของตนเอง และลงมติหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงเท่าเทียมกัน ผ่านการเลือกตั้งไปแล้ว และเมื่อผลปรากฏว่า พรรคก้าวไกลได้เสนอชื่อนายพิธา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และสามารถรวบรวมเสียงข้างมาก 312 เสียง จากพรรคการเมืองทั้ง 8 พรรค ซึ่งนายพิธา ควรได้เป็นนายกรัฐมนตรี ตามครรลองปกติของระบอบประชาธิปไตย เรื่องควรจะเรียบง่ายตรงไปตรงมา
“แต่บรรยากาศที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ทำให้เกิดคำถามต่อประชาชนว่า หากนายกรัฐมนตรีคนใหม่ไม่เป็นไปตามผลเลือกตั้ง เราจะมีการเลือกตั้งไปทำไม ตกลงอำนาจอธิปไตยของประเทศนี้ เป็นของคนไทยตามที่บัญญัติไว้ หรือเป็นของใครกันแน่ คำถามในใจประชาชน ตลอดเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เราผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว 5 ครั้ง รัฐประหารพยายามที่จะเขียนรัฐธรรมนูญฉบับถาวร หลังรัฐประหาร แม้กระทั่งความพยายามที่จะจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ผ่านการยุบพรรคการเมือง รวมไปถึงมีการชุมนุมทางการเมือง จนมีผู้ถูกดำเนินคดี บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก จากความขัดแย้งที่ไม่ทราบว่าจะยุติเมื่อไหร่ จนบัดนี้สังคมไทยไม่สามารถหาคำตอบที่พวกเรายอมรับร่วมกันได้ ตราบใดที่ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ สังคมไทยก็จะหยุดนิ่ง จมดิ่งอยู่กับวังวนเดิม” นายชัยธวัช กล่าว
นายชัยธวัช กล่าวว่า ในฐานะสมาชิกรัฐสภา เห็นว่า การเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา และการลงมติในวันนี้ จะเป็นโอกาสสำคัญที่จะหาคำตอบครั้งใหม่ให้แก่สังคม สมาชิกหลายคนอาจจะไม่เห็นด้วยกับพรรคก้าวไกลในบางเรื่อง หลายคนอาจกังวลใจในความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คุ้นเคย หรือไม่รู้จัก และมีความกังวลว่า พวกเราจะพยายามเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ เราพยายามทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เป็นสถาบันหลักของชาติ โดยเจตนาที่เราเสนอให้มีการแก้ไขมาตรา 112 เป็นแนวคิดที่อยู่บนฐานความคิดว่า สถาบันหลักของชาติจะดำรงได้ด้วยความยินยอมของประชาชน ไม่มีสถาบันใดที่จะดำรงอยู่ได้ด้วยความกดปราบ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะเตือนให้สมาชิกผู้แทนราษฎร ตั้งสติและมองการณ์ไกลในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง
“เราไม่เชื่อว่าสิ่งใดจะดำรงอยู่ได้ด้วยการสถิตอยู่เหมือนเดิมทุกประการแล้วจะมั่นคง โดยมีการกล่าวว่า การเลือกนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี จะเป็นการล้มล้างสถาบัน ซึ่งเป็นอีกตัวอย่างที่ตนพยายามอธิบายว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในระบอบดังกล่าว เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุข ต้องอยู่เหนือการเมือง ซึ่งอันตรายมากที่ต่างฝ่ายต่างดึงเรื่องนี้เข้ามาพัวพันในความขัดแย้งทางการเมือง เราพยายามเสนอว่า ต้องช่วยกันนำสถาบันพระมหากษัตริย์ออกจากความขัดแย้งทางการเมือง ผมอยากเชิญชวนสมาชิกรัฐสภาลงมติให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี เหตุผลไม่ใช่เพราะรักนายพิธา หรือเห็นชอบกับพรรคก้าวไกล แต่เป็นการลงมติเพื่อคืนความปกติให้แก่รัฐสภาของไทย และตนขออวยพรให้ประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในระบอบประชาธิปไตย คุ้มครองสมาชิกรัฐสภาที่จะตัดสินใจอย่างกล้าหาญ ตามเจตจำนงที่ประชาชนได้แสดงออกผ่านการเลือกตั้ง” นายชัยธวัช กล่าว.-สำนักข่าวไทย