อสมท 31 พ.ค. – “รศ. ดร.พิชาย“ มองแถลงข่าวเปลี่ยนดีลลับให้เป็นดีลรัก สยบรอยร้าว “เพื่อไทย-ก้าวไกล” ได้ ชี้ตั้ง “คณะทำงานเปลี่ยนผ่าน” เหมาะสม สะท้อนการทำงานยุคใหม่ แนะ “พิธา” เตรียมหลักฐานแจงปมหุ้นสื่อ – ทำความเข้าใจ ส.ว.ให้ช่วยโหวตเป็นนายกฯ
รศ. ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา คณะพัฒนาสังคมและยุทธศาสตร์การบริหาร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวถึงการแถลงข่าวหลังการประชุมของ 8 พรรคที่จะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยืนยันไม่มีดีลล้วง ดีลลับ จะเปลี่ยนให้เป็นดีลรักและไม่ว่าจะเกิดอะไรพรรคเพื่อไทยจะอยู่ด้วยกันกับพรรคก้าวไกลนั้น ถือว่าช่วยสยบรอยร้าวของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลได้พอสมควร เพราะเป็นสัญญาณว่าพรรคเพื่อไทยคงได้พูดคุยและตกผลึกทางความคิดระหว่าง 2 แนวคิดภายในที่ต่อสู้กันหลังการเลือกตั้ง คือ แนวคิดที่สนับสนุนพรรคก้าวไกล กับแนวคิดที่ต้องการให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคอื่น ซึ่งคงพูดคุยว่าแนวคิดแรกจะเป็นแนวคิดหลักของพรรคเพื่อไทย และถ้าพรรคเพื่อไทยยึดแนวคิดนี้ก็จะทำให้การร่วมมือของ 2 พรรคมีความแนบแน่นจนกว่าจะมีการเลือกนายกรัฐมนตรีในอนาคต
เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้ก็มีการยืนยันจากพรรคเพื่อไทยว่า ไม่มีดีลลับและจะดันนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ยังมีกระแสข่าวรายวัน ภาพเมื่อวาน (30 พ.ค.) จะทำให้กระแสดังกล่าวสงบลงหรือไม่ รศ.ดร.พิชาย กล่าวว่า ใช่ เพราะหลังจากพรรคเพื่อไทยได้คุยกันภายใน ประกอบกับการที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นพ่อ คงจะได้ทำความเข้าใจกัน ว่า อนาคตของพรรคเพื่อไทยน่าจะเลือกแนวทางไหน ซึ่งแนวทางแรกเป็นการยืนยันหลักการและจุดยืนประชาธิปไตย รวมถึงจะทำให้พรรคเพื่อไทยมีความสง่างามในเวทีเลือกตั้งในทางการเมือง แต่ถ้าเป็นแนวคิดที่ 2 ก็จะทำให้ภาพลักษณ์ของเพื่อไทยเสีย จะถูกมองว่าเป็นคนหักหลังเพื่อนทำให้เกิดปัญหากับพรรคเพื่อไทยในอนาคต
ส่วนเรื่องตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร และตำแหน่งรัฐมนตรี จะทำให้เกิดปัญหาของพรรคร่วมรัฐบาลอีกรอบหรือไม่ รศ.ดร.พิชาย กล่าวว่า ปัญหาคงมีในแง่เจรจราต่อรอง หรือความเห็นที่แตกต่าง แต่คงจะสามารถจัดการ เจรจาได้ไม่นำไปสู่การแตกหักเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการจัดตั้งรัฐบาล
เมื่อถามว่าดีลรักจะทำให้กระแสต่างๆเบาลงหรือไม่สำหรับพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย รศ.ดร.พิชาย กล่าวว่า ตนคิดว่าจะเบาลงและมีความราบรื่นในการจัดตั้งรัฐบาลมากขึ้น
ส่วนการตั้งคณะทำงานเปลี่ยนผ่าน ที่ถูกมองว่าอาจไม่เหมาะสมเพราะรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังรักษาการรัฐบาล อยู่ รศ.ดร.พิชาย ระบุว่า การตั้งคณะทำงานช่วงเปลี่ยนผ่านถือว่าเหมาะสมดีเป็นการเตรียมการ ถ้าหากได้เป็นรัฐบาลก็สามารถทำงานได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ ไม่ต้องศึกษางาน เป็นการสะท้อนการทำงานแบบยุคใหม่ ทำงานอย่างรวดเร็วให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัล ไม่รอช้า ไม่อืดอาด เชื่อว่าคณะทำงานฯคงมีวิธีการไม่ให้ไปกระทบกระทั่งหรือก้าวก่ายการทำงานของรัฐบาลปัจจุบัน แต่จะทำในลักษณะคู่ขนาน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวเล่านั้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในภาครัฐ แต่กรณีที่เป็นบุคคลากรในภาครัฐก็อาจเชิญมาพูดคุยเหมือนที่ประชาชนทั่วไปเข้าไปขอข้อมูลคงไม่ได้เข้าไปแทรกแซงเหมือนกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ มีความกังวล ซึ่งการพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็คงเป็นการพูดในลักษณะว่า อยากคงความเป็นรัฐบาลของตัวเองเอาไว้ คงไม่อยากให้คนอื่นเข้าไปยุ่ง แต่ในแง่ของประชาธิปไตยเมื่อพรรคการเมืองหนึ่งชนะการเลือกตั้งก็จะมีการเตรียมการเพื่อจะไปประสานงานได้ทันทีหลังจากเข้ารับตำแหน่งซึ่งเป็นผลดีกับประชาชน
เมื่อถามว่าอะไรยังเป็นอุปสรรคกับการฟอร์มรัฐบาลของพรรคก้าวไกลในชั่วโมงนี้ รศ.ดร.พิชาย กล่าวว่า ปัญหาต่างๆคงสามารถจัดการได้ แต่อาจมีปมที่ตัวบุคคลของนายพิธา ซึ่งคงต้องรอ กกต.กับศาลรัฐธรรมนูญว่าจะวินิจฉัยอย่างไร และฝ่ายกฎหมายก็ต้องเตรียมข้อมูลพร้อมชี้แจงต่อสู่ นอกจากนี้ยังมีเรื่อง ส.ว.ที่พรรคก้าวไกลจะต้องไปพูดคุยทำความเข้าใจกับ ส.ว.เพื่อให้ได้เสียงครบ 376 เสียงสนับสนุนนายพิธา .-สำนักข่าวไทย