กรุงเทพฯ 21 ต.ค.- “ธิดารัตน์” ห่วงควบรวมทรู-ดีแทค สร้างระบอบทุนผูกขาด ผลักภาระให้ผู้บริโภค ชี้ รัฐบาลควรหนุนรัฐวิสาหกิจเข้ามาถ่วงดุลในตลาดโทรคมนาคม ขอประชาชนช่วยจับตามอง
น.ส.ธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ โฆษกพรรคไทยสร้างไทย แสดงความกังวลกรณีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ บอร์ด กสทช. มีมติเสียงข้างมากรับทราบการควบรวมกิจการโทรคมนาคมของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ทรู และ บริษัท โทเทิ่ล แอคเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค เพราะมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การผูกขาดในด้านสาธารณูปโภค ที่ควรเป็นปัจจัยพื้นฐานการดำรงค์ชีวิตของประชาชน ทำให้คู่แข่งขันในตลาดจะเหลือเพียงสองเจ้าใหญ่ คือ เอไอเอสและทรูกับดีแทคที่ควบรวมกัน เแม้จะกำหนดเงื่อนไขเฉพาะเพื่อรองรับและคุ้มครองผู้บริโภคว่าต้องพ้นสามปีไปก่อน จึงจะสามารถควบรวมได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็มีความเสี่ยงในอนาคตที่จะทำให้ทิศทางราคาการใช้บริการโทรคมนาคมของประชาชนถูกกำหนดโดยเจ้าตลาดเพียง 2 บริษัทเท่านั้น
“การที่บริษัทโทรคมนาคมขนาดใหญ่สองบริษัทควบรวมกิจการกันนั้น ย่อมส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง เพราะบริษัทมหาชนย่อมคำนึงถึงผลประกอบการเป็นหลัก แต่กิจการโทรคมนาคมเป็นสาธารณูปโภคที่ประชาชนทุกคนจำเป็นต้องใช้ การปล่อยให้มีบริษัทยักษ์ใหญ่เพียง 2 บริษัทดำเนินกิจการเช่นนี้จะส่งผลต่อค่าครองชีพของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนอาจทำให้เกิดการฮั้วกันและไม่แข่งขันตัดราคาซึ่งกันและกันของสองบริษัท จนทำให้ราคาอินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์ของประชาชนพุ่งสูงขึ้นได้ จึงขอให้ประชาชนช่วยกันจับตามอง” โฆษกพรรคไทยสร้างไทย กล่าว
น.ส.ธิดารัตน์ เสนอว่ารัฐบาลควรพิจารณาสนับสนุนรัฐวิสาหกิจของรัฐเองมากขึ้น อย่างเช่น บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT (กสท. และ TOT เดิม) โดยให้ NT เข้ามาถ่วงดุลในตลาดโทรคมนาคมเพิ่มเติม โดยเสนอให้มีราคาที่ต่ำกว่าบริษัทเอกชนทั้งสองบริษัท เพื่อดึงดูดให้ประชาชนเข้ามาใช้บริการกับรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้น และเป็นการช่วยดึงราคาในตลาดไม่ให้มีค่าบริการสูงเกินไป รวมถึงการันตีว่าประชาชนจะสามารถเข้าถึงสาธารณูปโภคได้อยู่อย่างมีประสิทธิภาพ และการที่กสทช.อนุญาตให้เกิดการควบรวมกิจการของทุนขนาดใหญ่สองบริษัทในกิจการโทรคมนาคมนั้น ไม่เพียงแต่เป็นการสนับสนุนให้เกิดทุนผูกขาดขึ้นในประเทศ แต่ยังสะท้อนถึงระบอบอำนาจนิยมที่อาจเป็นอันตรายต่อประชาชนได้ เพราะไม่ได้มองถึงปัญหาของประชาชนคนตัวเล็ก ที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพในสาธารณูปโภค รัฐควรคำนึงถึงปัญหาเรื่องการผูกขาดที่เกิดขึ้นในประเทศไทยให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะในกิจการที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตประจำวันของประชาชน.-สำนักข่าวไทย