สวีเดน 26 ส.ค.-“มาริษ” เผยสวีเดนกังวลสถานการณ์ไทย-กัมพูชา หลังกัมพูชาใช้โล่มนุษย์ยั่วยุในพื้นที่ต่อเนื่อง เตรียมยกเรื่องนี้หารือเวที UN ที่เจนีวา พรุ่งนี้ ยันยังไม่ส่งทูตกลับ จนกว่าเขมรแสดงให้เห็นว่าจริงใจ
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวภายหลังการหารือทวิภาคีกับนางมารีอา มัลเมอร์ สเตเนอร์การ์ด (Maria Malmer Stenergard) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสวีเดน ถึงสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ที่มีการยั่วยุโดยใช้พลเรือนเป็นเครื่องมืออย่างต่อเนื่อง ว่า เรื่องนี้เป็นประเด็นที่หน่วยงานในพื้นที่ต้องช่วยกันระมัดระวังไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน เพราะเมื่อมีพลเรือนเข้ามาเกี่ยวข้อง ในการทำงานของทางทหารก็จะยากลำบาก อาจจะนำไปสู่การสร้างความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น ดังนั้นหน่วยงานที่เป็นพลเรือนในพื้นที่ก็จำเป็นจะต้องเข้ามาดูแลและแก้ไขสถานการณ์ตรงนี้
นายมาริษ กล่าวว่า ในการพบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสวีเดน ตนได้อธิบายให้เข้าใจว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งที่กัมพูชาพยายามใช้ ซึ่งขัดต่อความตกลงในกฎบัตรสหประชาชาติเป็นอย่างมาก เหมือนกับใช้ประชาชนและพลเรือนเป็นโล่มนุษย์ เพื่อที่จะทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ซึ่งประเทศสวีเดนก็เข้าใจ
และพรุ่งนี้ (27 ส.ค.) ตนจะมีโอกาสได้ชี้แจงกับที่ประชุม UN ที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ตนจะยกประเด็นนี้ขึ้นแสดงความห่วงกังวลว่า การใช้วิธีเอาพลเรือนมาเป็นตัวกดดัน หรือมาสร้างความตึงเครียด หรือขยายความตึงเครียดบริเวณชายแดนมากยิ่งขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ และเป็นการขัดต่อข้อตกลงระหว่างประเทศ กับกฎหมายระหว่างประเทศ
ส่วนการจะกลับมายกระดับความสัมพันธ์ของไทยกับกัมพูชานั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กัมพูชาจะต้องแสดงให้เห็นชัดเจนว่า มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา เพราะแม้ขณะนี้จะไม่มีการกระทบกระทั่งกันทางทหาร แต่ยังมีการใช้พลเรือนเป็นโล่ และเป็นตัวกดดัน ดังนั้นเรายังไม่มีความเชื่อมั่นว่ากัมพูชามีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหา ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในกรอบของ UN ทุกประเทศก็ให้ความสำคัญกับการเจรจาแบบทวิภาคี บนพื้นฐานของความตกลงและกฎหมายระหว่างประเทศ และต้องแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ โดยยึดสันติวิธีเป็นที่ตั้ง ดังนั้นจึงยังจะไม่มีการส่งทูตไทยกลับไปประจำที่กัมพูชา โดยขณะนี้ยังมีการติดตามอยู่ตลอดเวลา และเมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีความมั่นใจว่าเขามีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหาร่วมกัน เราก็จะค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ต่อไป แต่ ณ ขณะนี้ยังไม่มี
เมื่อถามย้ำว่า วิธีการที่ใช้มนุษย์เป็นโล่ป้องกัน ขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศใช่หรือไม่ นายมาริษ กล่าวว่า “ใช่ ไม่มีใครใช้อยู่แล้ว ไม่ควรใช้พลเรือนมาเป็นตัวสร้างให้เกิดปัญหา และในการพูดคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศของสวีเดน ก็กังวลกับสิ่งเหล่านี้ เพราะเป็นการทำให้เกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ซึ่งตรงนี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะนำไปสู่การพิจารณาว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศควรจะเป็นไปในทิศทางใด”
ส่วนการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในเดือนหน้า นายมาริษ กล่าวว่า คงต้องมีการคุยกันต่อไป เพราะ JBC มีเป้าหมายสำคัญอยู่สองด้าน คือ วางแนวทางที่จะเจรจากันในเรื่องของเขตแดน และต้องพูดคุยกันเพื่อลดความตึงเครียดระหว่างกัน รวมทั้งเรื่องของการใช้ประชาชนและพลเรือนมากดดัน เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ ดังนั้นต้องมีการพูดคุยกัน เพื่อแก้ไขปัญหานี้
เมื่อถามว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการสร้างรอยร้าวระหว่างไทยกับกัมพูชามากยิ่งขึ้น จะสื่อสารอย่างไรไปถึงประชาชนในพื้นที่ นายมาริษกล่าวว่า ไทยกับกัมพูชาอยู่ในพื้นที่ชายแดนติดกันมานานแล้ว ซึ่งในประวัติศาสตร์ก็มีการกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา หากเปรียบเทียบก็เสมือนกับคนในครอบครัวที่มีการกระทบกระทั่งกัน แต่ต้องตระหนักว่า สุดท้ายก็จะต้องอยู่ร่วมกัน ดังนั้น เป็นเรื่องที่ต้องคำนึงว่าจะทำอย่างไรต่อไปให้คนรุ่นหลังได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ซึ่งเป้าหมายของรัฐบาลไทยต้องการเห็นการพูดคุยและหาทางออกแบบสันติวิธี ซึ่งเป็นสิ่งที่เรายึดถือมาโดยตลอด ซึ่งมาตรการต่าง ๆ ที่ไทยใช้ ทั้งด้านการทหาร การต่างประเทศ ล้วนสนับสนุนการแก้ไขปัญหาระหว่างกันอย่างสันติวิธี และอย่างจริงใจ ซึ่งความจริงใจเป็นสิ่งสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่า ทั้งสองฝ่ายต้องการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องประเมินสถานการณ์ไปจนกระทั่งมั่นใจ
เมื่อถามย้ำว่า คนไทยถูกยั่วยุด้วยกระบวนการลักษณะนี้ จึงควรต้องมีสติ และไม่ใฝ่หาวิธีที่ไม่ใช่สันติวิธีใช่หรือไม่ นายมาริษ กล่าวว่า ใช่.-312.-สำนักข่าวไทย