สภาทนายความเตรียมฟ้องร้องกรณีการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในประเทศไทย โดยจะฟ้องทั้งบริษัทผู้ขออนุญาตนำเข้า และหน่วยงานรัฐที่กำกับดูแล ชี้จะร้องต่อศาลแพ่งแผนกคดีสิ่งแวดล้อม และศาลปกครอง ภายในวันที่ 16 สิงหาคม
นายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมด้วยอุปนายกและกรรมการสภาร่วมแถลงข่าวเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายกรณีการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ในประเทศไทย ว่า ตามที่สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมได้รับหนังสือร้องเรียน จากชาวบ้านในตำบลยี่สาร ตำบลแพรกหนามแดง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ว่าได้รับความเสียหายจากการระบาดของปลาหมอคางดำ ที่พบในแหล่งน้ำธรรมชาติและในพื้นที่บ่อเลี้ยงกุ้งและบ่อเลี้ยงปลาของชาวบ้าน สภาทนายความฯ ได้ตั้งประธานสภาทนายความทนายความจังหวัดรวม 16 จังหวัด เป็นผู้แทนของสภาทนายความเพื่อช่วยเหลือด้านกฎหมาย โดยมีประชาชนยื่นขอความช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ จากการสอบข้อเท็จจริงของคณะทำงานสภาทนายความพบว่า ปลาหมอคางดำ ซึ่งเป็นสัตว์น้ำต่างถิ่นที่ได้รับอนุญาตจากการประมง ให้นำเข้าเพื่อการทดลองศึกษาวิจัยและพัฒนาพันธุ์สัตว์น้ำ โดยมีผู้ประกอบการแห่งหนึ่งเป็นผู้ขออนุญาตนำเข้าและมีการนำเข้ามาศึกษาทดลองเลี้ยงในปีพ.ศ. 2553 ที่ศูนย์วิจัยเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของบริษัทในจังหวัดสมุทรสงคราม ต่อมาในปีพ.ศ. 2560 พบการระบาดของปลาหมอคางดำ โดยเริ่มระบาดครั้งแรกที่ตำบลยี่สาร ตำบลแพรกหนามแดง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม จากการศึกษาพบว่า สายพันธุ์การระบาดของปลาหมอคางดำมาจากจุดร่วมสายพันธุ์เดียวกัน
คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมสภาทนายความและคณะกรรมการสำนักงานคดีปกครองจึงกำหนดแนวทางให้ความช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายในสองแนวทางคือ
1) การดำเนินคดีแพ่งกับผู้ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในประเทศไทย โดยดำเนินคดีแบบกลุ่มซึ่งจะเรียกค่าเสียหายจากการขาดรายได้ของชาวประมง เรียกค่าเสียหายจากการที่ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย ตามหลัก “ผู้ก่อให้เกิดมลพิษเป็นผู้จ่าย” โดยจะร้องต่อศาลแพ่งแผนกคดีสิ่งแวดล้อม
2) การดำเนินคดีปกครองกับหน่วยงานอนุญาตที่ละเลย ละเว้นในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเป็นการทำละเมิดทางปกครองและให้หน่วยงานอนุญาตขจัดการแพร่ระบาดและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่สูญเสียไป โดยให้เรียกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจากผู้ก่อให้เกิดการระบาดของปลาหมอคางดำ รวมทั้งค่าเสียหายจากการที่ต้องสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ
สภาทนายความมั่นใจในข้อมูลและข้อกฎหมายที่ได้พิจารณาประกอบด้วย กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กฎหมายว่าด้วยการประมง และกฎหมายว่าด้วยการความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ และหน่วยงานของรัฐ โดยพร้อมจะนำคดีร้องต่อศาลภายในวันที่ 16 สิงหาคม 2567
ระหว่างนี้ให้สภาทนายความทนายความจังหวัด 16 จังหวัดได้แก่ จันทบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา สงขลา ตราด และชลบุรีรวบรวมความเสียหายของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและชาวประมงพื้นบ้านเพื่อประกอบสำนวน ล่าสุดได้รับรายงานว่า พบการระบาดในจังหวัดที่ 17 คือ จังหวัดนนทบุรี ซึ่งผู้ได้รับผลกระทบสามารถมาแจ้งต่อสภาทนายความจังหวัดได้เช่นกัน
ก่อนหน้านี้บริษัทที่ขออนุญาตนำเข้าจะชี้แจงว่า ได้ทำลายปลาและส่งตัวอย่างปลาให้กรมประมงครบถ้วนแล้ว โดยขัดแย้งของคำแถลงของอธิบดีกรมประมงที่ระบุว่า ไม่ได้รับตัวอย่างปลา ทั้งที่เงื่อนไขการนำเข้าจะต้องมีการส่งมอบทั้งตัวอย่างครีบปลา รวมถึงตัวอย่างปลาทั้งตัวเมื่อยกเลิกหรือสิ้นสุดการวิจัย นอกจากนี้อธิบดีกรมประมงยังกล่าวว่า กฎหมายว่าด้วยการประมงฉบับปัจจุบันซึ่งบังคับใช้ในปีพศ. 2558 ไม่สามารถเอาผิดได้ แต่สภาทนายความมั่นใจในข้อเท็จจริงซึ่งจะต้องเชื่อมโยงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของปลาหมอคางดำว่า ใครหรือหน่วยงานใดต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นบ้าง
ในการแถลงข่าวมีผู้แทนกลุ่มเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและชาวประมงพื้นบ้านมาร่วมรับฟังด้วย ต่างรู้สึกดีใจ ที่จะได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมาย แต่การพิจารณาคดีในศาลต้องใช้เวลานาน เบื้องต้นต้องการได้รับการเยียวยาจากผลกระทบที่เกิดต่ออาชีพ โดยต้องการให้ประกาศพื้นที่ที่พบการระบาดของปลาหมอคางดำ เป็นเขตประสบภัยพิบัติเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนโดยเร่งด่วน
ภาพ ชำนาญวุฒิ สุขุมวานิช