นักวิชาการ DPU เผยกว่า 67 % ของไรเดอร์-ผู้ใช้บริการเดลิเวอรีค้านลดค่า GP

กรุงเทพฯ 18 ต.ค.-นักวิชาการ DPU เผยกว่า 67 % ของไรเดอร์-ผู้ใช้บริการเดลิเวอรีค้านลดค่า GP หวังรัฐเร่งจัดหาวัคซีน – งัดมาตรการอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ


ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธารีทิพย์ ทากิ อาจารย์ประจําสาขาการโรงแรมและธุรกิจอาหาร คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ซึ่งกำลังศึกษาวิจัยเกี่ยวกับธุรกิจบริการจัดส่งอาหาร เผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลให้บริการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชันหรือฟู้ดเดลิเวอรีได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงที่มีการประกาศล็อคดาวน์ ทำให้บริการดังกล่าวกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญนอกเหนือจากการซื้ออาหารที่หน้าร้าน และทำให้ค่า GP (หรือค่าคอมมิชชันที่แอปพลิเคชันเรียกเก็บจากร้านอาหาร) กลายเป็นประเด็นที่ถูกจับตามอง โดยมีหน่วยงานภาครัฐอย่างกระทรวงพาณิชย์ที่กำลังศึกษาข้อมูลเพื่อพิจารณาและควบคุมบริการดังกล่าว ทั้งนี้ ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เราได้จัดเสวนากลุ่มย่อยกับตัวแทนผู้ประกอบการร้านอาหาร และผู้ให้บริการแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี เพื่อรับฟังมุมมองและข้อเสนอแนะจากทั้งสองฝ่าย ล่าสุด เรายังได้สำรวจความคิดเห็นของกลุ่มผู้บริโภคและไรเดอร์ผู้ให้บริการจัดส่งอาหารต่อประเด็นดังกล่าว ซึ่งถือเป็นอีกสองตัวแปรสำคัญของวงจรธุรกิจนี้ เพื่อให้ได้ผลการศึกษาที่รอบด้านและสะท้อนบริบททางธุรกิจให้ครอบคลุมมากที่สุด จากผลการศึกษาพบประเด็นหลักที่น่าสนใจ ดังนี้

เดลิเวอรี

ทั้งนี้ ประโยชน์ของบริการฟู้ดเดลิเวอรี  77.9% ของไรเดอร์มองว่าบริการดังกล่าวเป็นช่องทางในการหารายได้เสริมให้กับคนไทย ขณะที่ 56.3% ของไรเดอร์เห็นว่า บริการนี้ช่วยเพิ่มช่องทางในการขายและการสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการร้านอาหาร


• 85.1% ของผู้ใช้บริการมองว่าบริการดังกล่าวช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภค โดย 73.4% ระบุว่า บริการฟู้ดเดลิเวอรีช่วยทำให้ไม่ต้องออกนอกบ้าน ซึ่งลดความเสี่ยงในการเจอผู้คนจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม แนวทางของภาครัฐในการควบคุมค่า GP กว่า 67% ของผู้ตอบแบบสอบถาม (ทั้งไรเดอร์และผู้ใช้บริการ) ไม่เห็นด้วยกับการที่หน่วยงานภาครัฐมีนโยบายที่จะควบคุมบริการดังกล่าวด้วยการปรับลดค่า GP เพื่อช่วยเหลือร้านอาหาร

62.9% ของไรเดอร์ไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว โดยไรเดอร์ส่วนใหญ่ถึง 64.9% มีความกังวลว่า การปรับลดค่า GP จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าตอบแทนของไรเดอร์ ขณะที่ 41.4% มองว่าบริการฟู้ดเดลิเวอรีเป็นเพียงช่องทางเสริมของร้านอาหาร โดยผู้ประกอบการสามารถเลือกได้ที่จะไม่ขายผ่านแพลตฟอร์มและหาช่องทางอื่นที่เหมาะสมกับธุรกิจของตัวเอง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับฝั่งของผู้ใช้บริการ โดย 69.9% ของผู้บริโภคไม่เห็นด้วยกับการปรับลดค่า GP โดย 49.9% เกรงว่าหากมีการปรับลดค่า GP จะต้องกระทบต่อราคาค่าบริการที่ผู้บริโภคต้องจ่ายเพิ่มขึ้น ขณะที่ 45.9% ของผู้ใช้บริการมองว่า อัตราค่า GP ในปัจจุบัน (สูงสุดไม่เกิน 30%) เหมาะสมอยู่แล้ว และส่งผลดีในระยะยาวต่อทุกคนในวงจรธุรกิจ และมีจำนวนถึง 31% ที่มองว่าแนวคิดในการปรับลดค่า GP เป็นการแก้ไขปัญหาที่ไม่ตรงจุด


เดลิเวอรี
เดลิเวอรี

สำหรับ แนวทางในการรับมือหรือการตอบสนองหากภาครัฐมีการควบคุมค่า GP

• 59% ของไรเดอร์ระบุว่า หากภาครัฐมีการผลักดันเรื่องการปรับลดค่า GP จริงจะรวมตัวกันประท้วงเพื่อเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนการพิจารณา โดย 28.4% ของไรเดอร์จะเรียกร้องให้แอปพลิเคชันฟู้ดเดลิเวอรีต้องแบกรับต้นทุนต่อไปหรือผลักภาระไปให้ผู้บริโภค ขณะที่ 27% ของไรเดอร์เลือกที่อยู่เฉยๆ และยอมรับสภาพหากมีการปรับลดค่าตอบแทน

• 46% ของผู้บริโภคระบุว่าจะเลิกใช้บริการสั่งอาหารหากมีการปรับราคาค่าบริการเพิ่มขึ้น ขณะที่มีเพียง 14% เท่านั้นที่ยอมจ่ายค่าบริการเพิ่มขึ้นความคาดหวังที่มีต่อหน่วยงานภาครัฐในการแก้ปัญหาปากท้องและช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหาร

• กว่า 73% ของผู้ตอบแบบสอบถาม (ทั้งไรเดอร์และผู้ใช้บริการ) ให้ความสำคัญกับการจัดหาวัคซีนเป็นอันดับแรก

• 56.2% ระบุว่ารัฐบาลควรมีมาตรการในการอัดฉีดหรือกระตุ้นการใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารในระยะยาว ขณะที่ 55% ของผู้ตอบแบบสอบถามคาดหวังไม่ให้มีการประกาศล็อคดาวน์อีก และ 46.2% เสนอให้มีการประสานให้ธนาคารหรือสถาบันการเงินมีการประนอมหนี้ หรือจัดโปรแกรมเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ

เดลิเวอรี

ผศ.ธารีทิพย์ ทากิ กล่าวเสริมว่า จากการรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วนพบว่า การประกาศล็อคดาวน์หรือขอความร่วมมือไม่ให้ออกนอกเคหสถานเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำธุรกิจของผู้ประกอบการร้านอาหารและเป็นตัวกระตุ้นสำคัญให้ประเด็นเรื่องค่า GP ได้รับความสนใจมากขึ้น ทั้งที่จริงๆ แล้วเดลิเวอรีแพลตฟอร์มเป็นเพียงหนึ่งในช่องทางการขายของร้านอาหารเท่านั้น ไม่ต่างจากการลงทุนเพื่อเปิดหน้าร้าน หรือการเช่าที่ในห้างสรรพสินค้าที่ต้องมีค่าใช้จ่ายและมีการคิดส่วนแบ่งการขายเหมือนกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับร้านอาหารว่าต้องการเลือกเข้าร่วมใช้บริการหรือไม่ตามความสมัครใจ สำหรับการพิจารณาเพื่อควบคุมกลไกตลาดนั้น ภาครัฐควรดำเนินการอย่างรอบคอบและคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย โดยการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่เฉพาะแต่ร้านอาหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ ในวงจรธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ลูกค้าหรือผู้บริโภค ไรเดอร์ รวมไปถึงแพลตฟอร์มสั่งอาหารด้วยเช่นกัน.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ภราดร” ประกาศลาออก “รองปธ.สภาฯ”

รัฐสภา 19 มิ.ย.- “ภราดร” ประกาศลาออกจาก “รองประธานสภาฯ” รักษาหลักการเสียงข้างมาก คืนอำนาจให้สภาฯ เลือกใหม่ นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง และ สส.จังหวัดอ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ประกาศยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งรองประธานฯ โดยมีผลทันทีในวันนี้ หลังจากพรรคภูมิใจไทยออกแถลงการณ์เมื่อค่ำวานนี้ว่ากรรมการบริหารพรรคมีมติให้พรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล และรัฐมนตรีของพรรคทุกคนได้ส่งใบลาออกต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีผลวันที่ 19 มิถุนายนนี้เช่นกัน นายภราดรให้เหตุผลว่า ตนได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้ด้วยเสียงส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น ในวันนี้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและพรรคภูมิใจไทยไม่ได้ร่วมอยู่ในรัฐบาลแล้ว จึงเห็นว่าควรคืนอำนาจให้สภาผู้แทนราษฎรได้มีโอกาสตัดสินใจเลือกรองประธานฯคนใหม่ด้วยมติเสียงข้างมาก ตามธรรมเนียมที่เคยถือปฏิบัติมา “ผมขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้ให้เกียรติเลือกผมมาปฏิบัติหน้าที่ แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นประสบการณ์ในการทำงานที่มีคุณค่า และขอถือโอกาสนี้ขอบคุณทีมงานของรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สองทุกคนที่ได้ทุ่มเททำงานจนบรรลุภารกิจไปหลายประการ ซึ่งล้วนสร้างความก้าวหน้าให้กับสภาของประชาชน กราบขอบพระคุณท่านประธานและรองประธานสภาฯคนที่หนึ่ง ที่ได้ให้ความเมตตาผมอย่างยิ่งในการทำงาน” นายภราดรกล่าว พร้อมย้ำว่าจะฝากงานหลายอย่างที่ได้ดำเนินการไว้ โดยเฉพาะโครงการเปิดพื้นที่รัฐสภาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ เป็นพื้นที่ของประชาชนอย่างแท้จริง โครงการวันรัฐธรรมนูญ กิจกรรมสภาวาที การพัฒนาสถานีวิทยุโทรทัศน์รัฐสภาให้เป็นสถานีของประชาชน โดยเปิดโอกาสให้สถานศึกษาเข้ามามีส่วนร่วม และการต่อยอดโครงการยุวชนประชาธิปไตยที่สร้างเสริมศักยภาพเยาวชน ให้ผู้รับตำแหน่งคนต่อไปได้มาสานต่อ นอกจากนี้ นายภราดรยังยืนยันจะทำหน้าที่เป็นผู้แทนราษฎรฝ่ายค้านอย่างเข้มแข็ง เคียงบ่าเคียงไหล่กับ ส.ส. ของพรรคภูมิใจไทยต่อไป.312 -สำนักข่าวไทย

นายกฯ โพสต์สำนวนก่อนลบทิ้ง เตรียมเข้าทำเนียบฯ

ทำเนียบ 19 มิ.ย.- นายกฯ โพสต์สำนวน “ผู้คน ไม่ได้แกล้งเศร้า แต่แกล้งโอเค” ก่อนลบทิ้ง ยกเลิกประชุมทีมคณะที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก เข้าทำเนียบ เมื่อเวลา 08.15 น. ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ช่วงเช้าวันนี้ (19 มิ.ย.) พบว่า มีการแชร์สตอรี่อินสตาแกรม เป็นสำนวนภาษาอังกฤษ ระบุว่า “People don’t fake depression.They fake being okay. Remember that. Be kind.” ซึ่งมีความหมายว่า “คนเราไม่ได้แกล้งเศร้า แต่แกล้งว่าตัวเองโอเคต่างหาก, จำไว้นะ จงมีเมตตา” พร้อมซาวด์ดนตรี Another love อย่างไรก็ตามในเวลา 08.54 น. นายกรัฐมนตรี ได้ลบโพสต์ดังกล่าว ออกจากสตอรี่อินสตราแกรม ทำให้ไม่มีข้อความปรากฏแล้ว ขณะเดียวกัน ยังรายงานอีกว่า วันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ยกเลิกภารกิจ […]

“กัญจนา” เชื่อ “วราวุธ’” ไม่หนุนการกระทำที่ไม่ดีต่อบ้านเมือง

กรุงเทพฯ 19 มิ.ย.- “หนูนา กัญจนา” ชี้พรรคชาติไทยพัฒนาแม้เป็นพรรคเล็ก แต่ศักดิ์ศรีรักบ้านเกิดเมืองนอนยิ่งใหญ่เสมอ เชื่อ “วราวุธ” ไม่หนุนการกระทำที่ไม่ดีต่อบ้านเมือง น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กกรณีคลิปเสียงสนทนาสองผู้นำไทย-กัมพูชา ว่า “ณ วันนี้ ดิฉันไม่ได้นิยามตัวเองเป็นนักการเมืองแล้ว ถอยออกมามานานแล้ว แต่ที่ดิฉันเป็นเสมอคือ เป็นคนไทยที่รักแผ่นดินเกิด “จุดยืนของดิฉันมั่นคงมาตลอดเหมือนพ่อ คือยึดมั่นต่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และเชื่อว่าน้องชายดิฉัน (นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ก็เช่นกัน” น.ส.กัญจนา ยังระบุอีกว่า “แม้ที่ผ่านมา เขาอาจจะพูดอะไรพลาดบ้าง นั่นก็เป็นบทเรียนในชีวิตให้เขาต้องจดจำ วันนี้ดิฉันแม้ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาแล้ว แต่ดิฉันยังเป็นสมาชิกพรรคอยู่ แม้พรรคชาติไทยพัฒนาในวันนี้ จะเป็นพรรคขนาดเล็ก แต่ศักดิ์ศรี และความรักบ้านเกิดเมืองนอนต้องยิ่งใหญ่เสมอ” “ดิฉันเชื่อว่า พรรค และหัวหน้าพรรคจะมีการตัดสินใจที่ชัดเจนในการไม่สนับสนุนการกระทำใดที่ไม่ดีต่อชาติบ้านเมือง ทำในสิ่งที่ควรทำ” -สำนักข่าวไทย

นายกฯ รีโพสต์สตอรี่ไอจี หลัง “ภูมิใจไทย” ถอนตัว

19 มิ.ย.- นายกฯ รีโพสต์สตอรี่ไอจี กลางดึก หลัง “ภูมิใจไทย” ประกาศถอนตัวพรรคร่วมรัฐบาล ความเคลื่อนไหวช่วงกลางดึกในเวลา 21.08 น. ของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายหลังพรรคภูมิใจไทยออกแถลงการณ์ถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล โดยจะยื่นใบลาออกมีผลวันนี้ (19 มิ.ย.) พร้อมเรียกร้องให้นายกฯ รับผิดชอบทำประเทศเสียเกียรติภูมิ นั้น พบว่าสตอรี่อินสตราแกรมของ นายกรัฐมนตรี ยังคงมีการเคลื่อนไหวผ่านการรีโพสต์สตอรี่ ที่มีคนโพสต์และแท็ก โดยเป็นภาพระหว่างสื่อมวลชนตามสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรี เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา และเป็นโพสต์รูปภาพของนายกรัฐมนตรี พร้อมใส่เพลง “ทำด้วยหัวใจ” โดยไม่มีการใส่แคปชั่น หรือระบุข้อความใดใดในภาพ รวมถึงคลิปที่นายกรัฐมนตรีได้มีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซน ด้วย -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

รัฐบาลออกแถลงการณ์โต้คลิปเสียง “ฮุนเซน“ ยันมีเจตนาบริสุทธิ์ จริงใจ

ทำเนียบ 19 มิ.ย.-รัฐบาลออกแถลงการณ์กรณีสถานการณ์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา โต้คลิปเสียง “ฮุนเซน” ยันมีเจตนาบริสุทธิ์ จริงใจ แต่ได้รับผลตรงข้าม ชี้ 26 ปี JBC ไร้ผล เป็นเหตุตัดสินใจใช้การทูตโทรหาผู้นำกัมพูชา ย้ำแก้ปัญหายึดสันติวิธี รักษาอธิปไตยไทย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์เมื่อเวลา 13.30 น. วันนี้ (19 มิ.ย.) “กรณีสถานการณ์ความสัมพันธ์ ไทย-กัมพูชา” โดยมีเนื้อหาว่า “พี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขออภัยต่อพี่น้องประชาชนด้วยความจริงใจ จากกรณีคลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์กับผู้นำกัมพูชาที่เกิดขึ้น ทุกการดำเนินการเป็นไปภายใต้เจตจำนงที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติ รักษาผลประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนไทย ทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและพักอาศัยอยู่ในกัมพูชา ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ดังกล่าว ไม่นึกว่าจะเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ น่าเสียใจอย่างยิ่งที่ความจริงใจของเรา กลับมีผลตอบรับตรงกันข้าม รัฐบาลไทยยึดหลักสันติวิธี ใช้กลไกทวิภาคีเรื่องเขตแดนที่มีอยู่ โดยเฉพาะการทำงานของ JBC ที่รัฐบาลไทยและกัมพูชาร่วมมือกันมาตลอด 26 ปี เพื่อคลี่คลายปัญหา แต่ในระหว่างนั้นได้ปรากฏเหตุการณ์สื่อสารโต้ตอบที่ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น หากรัฐบาลนิ่งเฉย และไม่แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ย่อมเกิดความเสี่ยงที่จะบานปลายไปสู่ความรุนแรงและความสูญเสียต่อชีวิตและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนชาวไทยได้ นายกรัฐมนตรีจึงตัดสินใจใช้วิธีทางการทูต ผ่านการโทรศัพท์พูดคุยโดยตรงกับผู้นำกัมพูชา […]

กต. ทำหนังสือประท้วงกัมพูชากรณีปล่อยคลิปเสียงหลุด

กรุงเทพฯ 19 มิ.ย. – กระทรวงการต่างประเทศ ส่งหนังสือประท้วงกรณีคลิปเสียงบทสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย-ฮุน เซน ย้ำผิดมารยาทและผิดหลักปฏิบัติสากล และทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยถึงพัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา หลังจากที่ได้มีการเปิดเผยบทสนทนาส่วนตัวระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฯ ฮุนเซน ประธานวุฒิสภา ของกัมพูชา ต่อสาธารณชนวานนี้ (18 มิ.ย.68) ว่า การกระทำดังกล่าวขัดต่อจรรยาบรรณ และมารยาทพื้นฐานของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐที่ไม่อาจยอมรับได้ ถือเป็นการทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และความพยายามที่จะใช้กลไกทวิภาคีในการแก้ไขปัญหาของทั้งสองฝ่ายตามแนวปฏิบัติสากล และการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี พร้อมเน้นย้ำว่า ไม่ว่าผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะเป็นใคร ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคือหัวหน้ารัฐบาลของประเทศ ที่ควรได้รับการเคารพ และให้เกียรติ ตามแนวปฏิบัติสากลในการเจริญสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศจึงได้ออกหนังสือประท้วงกรณีดังกล่าว ผ่านช่องทางทางการทูต โดยได้เชิญให้เอกอัครราชทูตกัมพูชา ประจำประเทศไทย มารับหนังสือดังกล่าว เพื่อแจ้งว่าการกระทำข้างต้นของทางกัมพูชาเป็นการกระทำที่ไม่สามารถยอมรับได้ ถือว่าผิดมารยาทพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ เป็นการทำลายความไว้ใจระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างร้ายแรง ซึ่งการออกหนังสือดังกล่าวเป็นไปตามแนวปฏิบัติทางการทูต มีความรอบคอบ โปร่งใส มีวุฒิภาวะ ใช้สันติวิธี และดำเนินการอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและการดูแลคนไทยที่อยู่ในกัมพูชาแล้ว พร้อมยืนยันว่าการกระทำดังกล่าว เป็นการดำเนินการทางการทูต […]

นายกฯ แถลงขอโทษคนไทยปมคลิปเสียงหลุดคุย “ฮุน เซน”

กรุงเทพฯ 19 มิ.ย. – นายกฯ แถลงขอโทษคนไทยทุกคน กรณีคลิปเสียงหลุดคุย “ฮุน เซน” เป็นเรื่องไม่น่าเกิดขึ้น ได้คุย มทภ.2 และทำความเข้าใจกับกองทัพ โดยได้อธิบายถึงเจตนาที่แท้จริง ยอมรับไม่ทราบจริงๆ ว่ามีการอัดคลิปเผยแพร่ ย้ำวันนี้ไทยต้องร่วมมือผนึกกำลัง ปกป้องอธิปไตย ทุกภาคส่วนสรุปว่า “เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าพบ เพื่อรายงานผลการประชุมของศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) รวมถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ภายหลังเกิดกรณีคลิปเสียงการโทรศัพท์เจรจาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ว่าได้เชิญหน่วยงานด้านความมั่นคงมาพูดคุยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ก่อนอื่นต้องขออภัยพี่น้องประชาชนและคนไทยทุกคนในเรื่องกรณีที่มีคลิปเสียงหลุดออกมาระหว่างที่ตนคุยกับผู้นำกัมพูชา ความจริงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ต้องขออภัยพี่น้องประชาชนที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจ ได้มีโอกาสคุยกับเจ้าหน้าที่และกองทัพ อธิบายถึงเหตุผลว่าเป็นเพียงแท็กติกของการสื่อสารที่จะเจรจาต่อไปว่าเราจะต้องแสดงความเข้าใจก่อน เพื่อจะคุยถึงต่อไป เป็นการต่อรองเพื่อให้การปะทะนั้นหยุดลง ด้วยความตั้งใจที่แท้จริงว่าต้องการจะให้สถานการณ์สงบสุขเท่านั้นเอง และไม่ทราบจริงๆ ว่าจะมีการอัดคลิปและเผยแพร่เช่นนี้ ก็ได้ทำความเข้าใจกับทางกองทัพเรียบร้อยแล้ว และรับฟังว่าวันนี้เราต้องร่วมมือกันผนึกกำลังเอาไว้ คนไทยทุกคนต้องผนึกกำลังเอาไว้ วันนี้ทุกภาคส่วนได้สรุปว่ากรณีดังกล่าวเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่ภัยคุกคามเล็กๆ ของประชาชนหรือของอะไร ที่จะพูดถึงว่ารัฐบาลหรือกองทัพต้องมาสู้กัน วันนี้เราไม่มีเวลาที่จะมาทะเลาะกันเองแบบนี้ เราต้องปกปกอธิปไตย ยินดีสนับสนุนกองทัพทุกรูปแบบ และวันนี้การที่เราจะทำอะไรหรือตัดสินใจในเรื่องต่างๆ เราต้องคำนึงถึงประชาชนคนไทยที่อยู่ในกัมพูชาด้วย รวมทั้งประชาชนตรงชายแดน […]

ผบ.ทบ. แสดงจุดยืนยึดมั่น ปชต. ย้ำเวลานี้ “คนไทยต้องสามัคคี”

กองทัพบก 19 มิ.ย. – ผบ.ทบ. แสดงจุดยืนยึดมั่นระบอบประชาธิปไตย พร้อมทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ ย้ำสถานการณ์บ้านเมืองในเวลานี้ “คนไทยต้องสามัคคี” พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันที่ปรากฏข้อมูลหรือการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ที่หลากหลายและส่งผลกระทบต่อสังคมเป็นบริเวณกว้าง พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ในประเทศที่เกิดขึ้นโดยขอให้คนไทยได้เชื่อมั่นในกองทัพบก ที่มีจุดยืนในการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และพร้อมทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างสุดความสามารถ ภายใต้กลไกที่มีอยู่ ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารบกได้เน้นย้ำว่า หากพิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในห้วงเวลานี้คือ “คนไทยต้องสามัคคี” ร่วมกันปกป้องอธิปไตยจากผู้ไม่หวังดี โดยยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ-313 .-สำนักข่าวไทย