กรุงเทพฯ 14 ส.ค. – จากกรณีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี โดยให้มีผลทันที เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ ผลกระทบที่เกิดจากการบังคับใช้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ภาวะเงินเฟ้อ นโยบายการเงิน และการค้าโลก
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า บสย. ขานรับนโยบายรัฐบาล โดยได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ลง 0.25% ต่อปี คงเหลือ 5.60% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุด เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ บสย. จ่ายเคลมอย่างต่อเนื่อง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 3 ของปี จากเมื่อต้นปี บสย. ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ลง 0.15% ต่อปี คงเหลือ 5.90% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2568 และเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 อีก 0.05% ต่อปี คงเหลือ 5.85% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568
ตลอดเวลาที่ผ่านมา บสย. ยืนหยัดในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะการลดภาระทางการเงิน เพื่อให้ SMEs สามารถประคับประคองธุรกิจ เดินหน้าต่อได้ในภาวะเศรษฐกิจผันผวน และผลกระทบจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้น
ปัจจุบัน บสย. มีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลม ผ่านมาตรการ “บสย. พร้อมช่วย” หรือ มาตรการ 3 สี “ม่วง เหลือง เขียว” ที่เน้นออกแบบเพื่อรองรับกับความสามารถในการชำระหนี้ มีเป้าหมายเพื่อช่วยลูกหนี้ บสย. ลดภาระ-ปลดหนี้ แก้หนี้ยั่งยืน จุดเด่นของมาตรการคือ ยืดหนี้ยาวสูงสุด 7 ปี ช่วย SMEs “ผ่อนน้อย เบาแรง” พร้อม “ตัดเงินต้น ก่อนตัดดอก” และคิดอัตราดอกเบี้ย 0% ช่วยให้ลูกหนี้สามารถกลับไปเป็นลูกหนี้ปกติได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น นอกจากนี้ สำหรับลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลมที่ต้องการ “ปลดหนี้” บสย. ยังให้ความช่วยเหลือพิเศษ “ลดต้นสูงถึง 30%” พร้อม “ปลดดอก” เพื่อต่อลมหายใจให้ลูกหนี้สามารถกลับมาเดินหน้าต่อได้อย่างยั่งยืน.-515 -สำนักข่าวไทย