กรุงเทพฯ 14 ส.ค. – นักวิเคราะห์ชี้ตลาดหุ้นไทยจับตาการพิจารณาคดีถอดถอน “เศรษฐา” หากนายกฯ ได้ไปต่อ เชื่อหุ้นบวก แต่หากไม่ได้ไปต่อ จะลบ ไม่มาก เพราะตลาดเชื่อว่าผู้นำรัฐบาลคนใหม่จะรับไม้ต่อนโยบายเศรษฐกิจได้ ด้านเอกชนห่วง “เปลี่ยนม้ากลางศึก” ทำต่างชาติชะงักลงทุน
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ ให้สัมภาษณ์ในรายการนาทีลงทุน สำนักข่าวไทย ช่อง 9 MCOT HD ถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้มีความผันผวน เนื่องจากมีทั้งปัจจัยบวกสลับลบ หลายปัจจัย ฝั่งปัจจัยบวกจากตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นในทิศทางชะลอตัว ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ คืนนี้ยังต้องจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ว่าจะชะลอตัวตามไปด้วยหรือไม่ ส่วนฝั่งปัจจัยลบ มีประเด็นความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ทำให้โมเมนตัมของน้ำมันดิบเป็นการชะลอตัว ส่วนตลาดในภาคบ่าย ต้องจับตาคดีศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคดีนายเศรษฐา ทวีสิน ขาดคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี เหตุแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน นั่ง “เก้าอี้รัฐมนตรี” ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจากทิศทางการเมือง เป็นปัจจัยที่กดดันตลาดในระดับหนึ่ง ตลาดต้องการความชัดเจน หากผลการพิจารณาปรากฏนายกฯ ได้ไปต่อ จะหนุนให SET Index กลับมาเป็นบวกได้ แต่หากไม่ได้ไปต่อ เชื่อว่าโมเมนตัมในตลาดจะตอบรับเชิงลบ แต่ไม่มาก เนื่องจากมองว่าการสรรหาผู้นำฝั่งรัฐบาลจะไม่ช้าเกินไป และสามารถรับไม้ต่อมาตรการเดินหน้าเศรษฐกิจของภาครัฐได้ ก็จะช่วยหนุนโมเมนตัมได้ ตลาดจะย่อลงในเชิงตั้งรับ ซึ่งในระยะต่อไปมองว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสในการลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มองกรอบการเคลื่อนไหววันนี้ที่ระดับ 1,290-1,310 จุด
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยถึงความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน ในบ่ายวันนี้ (14 ส.ค.) ว่าเป็นเรื่องที่สำคัญเพราะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงทั้งปัจจัยภายในและนอกประเทศที่ถาโถมเข้ามา หากศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา สิ้นสุดลง จะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุน อเมริกา และสหภาพยุโรป (อียู) ที่มีความอ่อนไหวต่อเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศที่ไปลงทุน อาจเลื่อนแผนออกไปไม่มีกำหนด หรืออาจตัดสินใจไปลงทุนในประเทศอื่น เพราะไม่มั่นใจว่า หากมีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี หรือ ครม.ชุดใหม่ นโยบายที่เคยประกาศไว้จะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ อย่างไร ซึ่งที่ผ่านมานายกนายกรัฐมนตรี ได้สวมบทเซลล์แมนออกไปโรดโชว์ร่วมกับบีโอไอ พบซีอีโอของบริษัทใหญ่ ๆ เพื่อดึงการลงทุน หากมีการเปลี่ยนผู้นำก็ต้องส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนแน่นอน
“การเปลี่ยนม้ากลางศึก อาจส่งผลให้นักลงทุนที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจ ปรับแผนไปลงทุนประเทศอื่นแทน เพราะไม่มั่นใจว่าสิ่งที่นายกฯ รับปากเขาไว้จะเปลี่ยนไปหรือไม่ ทำให้อาจต้องมาเริ่มอะไรทุกอย่างใหม่ จะทำให้เสียเวลา และโอกาสไปโดยไม่จำเป็น” นายเกรียงไกร กล่าว. -516, 517-สำนักข่าวไทย