รัฐ-เอกชน ร่วมถก “ค่าไฟฟ้าที่เป็นธรรมต้องทำอย่างไร”

กรุงเทพฯ 25 เม.ย.-รัฐ-เอกชน ตั้งวงเสวนา ถกโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ ที่เป็นธรรมกับทุกภาคส่วน  ด้าน สนพ.แย้มเปิดรับฟังความเห็นแผน PDP 2024 เดือนหน้า ชี้โลกเปลี่ยน ปรับทิศชี้วัดความมั่นคงใหม่ จับเกณฑ์ไฟฟ้าดับไม่เกิน 17 ชม.ต่อปีแทนปริมาณสำรองไฟฟ้า ด้านเอกชนแนะยกเลิกปรับ Ft ทุก 4 เดือน – เปิดเสรีซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดแทนระบบ BES-Enhanced Single Buyer 


หลักสูตรด้านวิทยาการพลังงานสำหรับนักบริหารรุ่นใหม่ รุ่นที่ 2 (วพม.2) ร่วมกับสมาคมการจัดการของเสียอย่างยั่งยืน จัดงานเสวนาพิเศษในหัวข้อ “ค่าไฟฟ้าที่เป็นธรรมต้องทำอย่างไร”  โดยมีนายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “นโยบายด้านกิจการไฟฟ้าของประเทศ”  โดยได้กล่าวถึงความคืบหน้าแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ฉบับใหม่ หรือ PDP 2024 (พ.ศ.2567-2580) ว่า อยู่ระหว่างการนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการพยากรณ์ และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ครั้งที่ 2 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้  จากนั้นจะเปิดรับฟังความจากประชาชนภายในเดือนหน้า

นายวีรพัฒน์  ยังได้เปิดเผยถึงแนวทางหลักในการจัดทำแผน PDP 2024 ว่ามุ่งเน้น 3 ส่วนหลัก คือ 1.ความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศ 2.ต้นทุนค่าไฟฟ้าอยู่ในระดับที่เหมาะสม มีเสถียรภาพ สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ราคาเป็นธรรม และเตรียมพร้อมระบบไฟฟ้าให้เกิดการแข่งขัน และการบริหารจัดการ เพื่อนำการผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ (Distributed Energy Resource : DER) มาใช้ให้เกิดประโยชน์ และ3.จำกัดปริมาณการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ โดยสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และเพิ่มประสิทธิภาพในระบบไฟฟ้า 


นอกจากนี้ จะมีการเปลี่ยนไปใช้ดัชนีโอกาสเกิดไฟฟ้าดับ (LOLE) เป็นเกณฑ์ความมั่นคง แทนการใช้เกณฑ์กำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin)  โดยเกณฑ์ LOLE ต้องไม่เกิน 0.7 วันต่อปี หรือไม่เกิน 17 ชั่วโมงจาก 8,760 ชั่วโมง ส่วนเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด หรือพลังงานหมุนเวียนใหม่ ปลายแผน หรือ พ.ศ.2580 ต้องมีสัดส่วนการผลิตไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ตามแนวนโยบายของแผนพลังงานชาติ นอกจากนี้ยังกำหนดเป้าหมายของมาตรการเปลี่ยนแปลงพฤติกกรรมการใช้ไฟฟ้า ( Demand response ) 1,000 เมกะวัตต์ และมาตรการลดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (peak) โดยใช้ DER รองรับเทคโนโลยีใหม่ที่จะ โดยมีการพัฒนาระบบโครงข่ายสมาร์ทกริดของประเทศไทยมาสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพลังงานจากการมีผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เองมากขึ้นในอนาคต

ส่วนโรงไฟฟ้าใหม่และเทคโนโลยีใหม่ที่จะนำมาพิจารณาในแผน  ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังน้ำสูบกลับ, รับซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจากต่างประเทศ, Solar/ Solar Floating /Solar + BESS (Battery Energy Storage System 🙂  และมีพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) เป็นทางเลือกด้วย ส่วนเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาเป็นทางเลือก อาทิ ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน  (Carbon  Capture Utilization and Storage ) เทคโนโลยีแอมโมเนีย เป็นต้น ขณะที่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในภาคการผลิตไฟฟ้าลดลงเหลือ 41.5 ล้านตันคาร์บอนในปี พ.ศ.2593 ตามตัวเลขของสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม (สผ.)  

“ความท้าทายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยหันมาใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนต้นทุนยังสูง และไม่สามารถพึ่งพาได้ตลอดเวลา จึงจำเป็นต้องมีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อทำให้ระบบมีความมั่นคง เนื่องจากต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในช่วง 2 ปีมาอยู่ในเวลากลางคืน ยกตัวอย่างในระหว่าง 22-24 เมษายน 2567 พีกไฟฟ้าเกิน 35,000 เมกกะวัตต์ ต่อเนื่อง 3 วัน และเกิดในช่วงกลางคืน ซึ่งการผลิตไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ไม่สามารถรองรับได้”นายวีรพัฒน์กล่าว


สำหรับช่ววเสนาแลกเปลี่ยนความรู้ ในหัวข้อ “ค่าไฟฟ้าที่เป็นธรรม ต้องทำอย่างไร” ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย   นายวุฒิกร สติฐิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ,ดร.ชนะภูมิ นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย ,นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ,นายวฤต รัตนชื่น ผู้ช่วยผู้ว่าการ วิจัย นวัตกรรม และพัฒนาธุรกิจ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และนายนที สิทธิประศาสน์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

นายวุฒิกร สติฐิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ปัจจุบันยังต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ใช้มากขึ้น ช่วงนี้ราคา LNG ค่อนข้างมีเสถียรภาพ  อยู่ที่ประมาณ 10 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู ซึ่งประเทศไทยจำเป็นต้องพึ่งพาก๊าซฯ ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด  ปตท.มีสถานะเป็นผู้นำเข้ารายหนึ่งที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กกพ. ยังมีผู้นำเข้าอีกหลายราย  การผลิตไฟฟ้านับวันก็มีความท้าทายมากขึ้นตามลำดับ เพราะโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล และAI ที่จะทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าโตอีกเป็นเท่าตัว  หัวใจสำคัญคือการผสมผสานที่สมดุลระหว่างการเปิดให้มีการแข่งขันเสรีกับระบบการกำกับดูแล ซึ่งทั้งหมดขับเคลื่อนด้วยนโยบายที่ต้องพิจารณาในเรื่องราคาที่ต้องสะท้อนต้นทุนเพื่อไม่ให้เกิดภาระกับประเทศในระยะยาว รวมถึงการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานรองรับพลังงานหมุนเวียนที่จะเข้ามามากขึ้น ที่สำคัญคือการสื่อสารกับประชาชน

ดร.ชนะ ภูมิ นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย ย้ำว่าไฟฟ้าเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ และเป็นต้นทุนที่สำคัญของผู้ประกอบการ ไฟฟ้าตกดับเพียง 1 นาทีกระทบเป็นเงินถึง 5 แสนบาทต่อครั้ง ปัจจุบันโรงงานปูนซิเมนต์ที่สระบุรี ได้นำเทคโนโลยีผลิตพลังงานใช้เองมากขึ้น และมีการแลกเปลี่ยนพลังงานระหว่างกันในพื้นที่ใกล้เคียง ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าลดลง เหลือ 12,000-13,000 ล้านบาท จากเดิมเคยจ่าย 20,000 ล้านบาท  ซึ่งเราพร้อมเป็นโมเดลให้ทุกภาคส่วนได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้  

อย่างไรก็ตามเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆมากขึ้น  ประเทศไทยจึงควรต้องปรับเปลี่ยนนโยบายให้ทันสมัย เช่น ควรยกเลิกการปรับค่าไฟฟ้าผันแปร (FT) ที่ปัจจุบันมีการปรับทุก 4 เดือน และหันมาสนับสนุนการกักเก็บพลังงาน ( Energy Storage) ให้เหมาะสมกับพื้นที่ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนโหลดของผู้ใช้ รวมถึงสร้างทางเลือกการซื้อขายไฟฟ้าได้หลายแหล่งและหลากหลาย

ด้านนายนที สิทธิประศาสน์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  กล่าวว่า  ที่ผ่านมาผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเป็นจำเลยสังคมาโดยตลอด เพราะการสนับสนุนในช่วงแรกจากระบบการให้ส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้าทำให้ต้นทุนของระบบสูง แต่หากรัฐไม่อุดหนุน การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนของไทยก็ไม่สามารถเดินหน้ามาได้จนถึงทุกวันนี้  พร้อมเสนอภาครัฐปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า โดยเปลี่ยนโครงสร้างกิจการไฟฟ้าจาก BES-Enhanced Single Buyer ไปสู่การเปิดเสรีซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด เอกชนสามารถซื้อขายกันเองได้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการใช้ไฟฟ้า RE 100 ของ FDI การส่งออก และบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality แบบเป็นขั้นตอน โดยเริ่มจากพื้นที่ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้า RE100 สูงมาก เช่น EEC และนิคมอุตสาหกรรม 

นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ระบุว่า ค่าไฟฟ้าจะถูกหรือแพงอยู่ภายใต้นโยบายและแผน เพราะโรงไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องต้องใช้การวางแผนล่วงหน้า ต้องยอมรับว่าค่าเชื้อเพลิงเป็นต้นทุนหลักของการผลิตไฟฟ้า โดยเฉพาะ LNG ซึ่งนอกจากต้ำคำนึงถึงราคา ยังต้องคำนึงถึงคุณภาพด้วย นอกจากนี้ยังต้องมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆมารองรับ  อย่างไรก็ตามแต่ละประเทศมีนโยบายดูแลคนกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าแตกต่างกัน  ยกตัวอย่างเวียดนามมีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสัดส่วนสูง แต่ก็มีไฟฟ้าตกดับบ่อย มีการอุดหนุนค่าไฟให้กับกิจการขนาดใหญ่ แต่ก็ปล่อยราคาสะท้อนต้นทุนกับกิจการขนาดกลาง เป็นต้น ส่วนสิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ มีทรัพยากรไม่มากนัก ก็ใช้ระบบเปิดเสรีราคาเป็นไปตามกลไกตลาด เป็นต้น

นายวฤต รัตนชื่น ผู้ช่วยผู้ว่าการ วิจัย นวัตกรรม และพัฒนาธุรกิจ กฟผ. ระบุว่า สำหรับแนวทางที่จะทำให้ค่าไฟฟ้าเป็นธรรมกับทุกภาคส่วนนั้น เบื้องต้นต้องเคลียร์ต้นทุนของแต่ละภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกมาให้ชัดเจน เพื่อพิจารณาการอุดหนุน และเงื่อนไขที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ภาระไปตกอยู่กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะภาคประชาชน พร้อมเสนอว่าอัตราค่าไฟฟ้าที่คิดตามช่วงเวลาการใช้งานของผู้ใช้ไฟฟ้า (Time of Use Tariff :TOU) เพื่อกระจายช่วงเวลาการใช้ไฟฟ้า ซึ่งใช้มานานนับสิบปี ควรปรับเปลี่ยนด้วยเพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าก็เปลี่ยนไป.-517-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” รายชื่อตรงตามโผ

กทม. 19 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” นั่งนายกฯ ควบมหาดไทย พร้อมตั้ง รองนายกฯ 6 คน รมต.สำนักนายกฯ 4 คน ขณะรายชื่อตรงตามโผ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย. 68) เวลา 09.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายนพุทธศักราช 2568 แล้วนั้น บัดนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เลือกผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ […]

“เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง

กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต หลังจากนี้จะใช้ชีวิตของตัวเองอุทิศให้ประชาชนและประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปี ที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ […]

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบพันธมิตรบุกยึด NBT ปี51

ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ […]

‘มาครง’ เตรียมเสนอหลักฐานยืนยัน ‘บริฌิตต์’ เป็นหญิงไม่ใช่ชาย

ปารีส 19 ก.ย. – ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และบริฌิตต์ ภริยา เตรียมเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริฌิตต์เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย ทนายความของประธานาธิบดีมาครงและบริฌิตต์ บอกว่า ทั้งคู่จะยื่นเอกสารเหล่านี้ในคดีหมิ่นประมาทที่ทั้งสองได้ยื่นฟ้อง แคนแดซ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาชาวอเมริกัน ที่เผยแพร่ความเชื่อของตนผ่านทางสื่อและรายการพ็อคแคสต์ของตนเองว่าบริฌิตต์ เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับข้อกล่าวหาดังกล่าว และเรื่องนี้รบกวนจิตใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส แม้จะไม่ได้ทำให้มาครงสมาธิหลุดจากภารกิจหน้าที่ของเขาในฐานะผู้นำประเทศ แต่มันก็เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ซึ่งตัวประธานาธิบดีก็ไม่มีข้อยกเว้น ในส่วนของการยื่นหลักฐานต่อศาลนั้น ทนายความของมาครงและภริยาบอกว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริฌิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง สำหรับประเด็นเรื่องบริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ถูกเผยแพร่ครั้งแรกตามสื่อออนไลน์ของฝ่ายขวาและกลุ่มต่อต้านวัคซีนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2021 ต่อมา แคนแดซ โอเวนส์ อดีตนักวิจารณ์ของเดลี่ไวร์ (Daily Wire) สำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียหลายล้านคน ได้เผยแพร่มุมมองของตนเองหลายครั้งว่า บริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ที่มีชื่อว่า ฌอง-มิเชล ทรอกโนซ์ (Jean-Michel Trogneux) ก่อนที่จะแปลงเพศในเวลาต่อมา ถึงขั้นอ้างว่าเธอพร้อมเดิมพันชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมดของเธอกับข้อกล่าวหานี้ ส่งผลให้มาครงและภริยายื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯ […]

ข่าวแนะนำ

สั่งหยุดก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง พื้นที่เกิดเหตุถนนทรุด

กรุงเทพ 24 ก.ย.- รฟม. สั่งการให้หยุดก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงในพื้นที่เกิดเหตุ หลังเกิดเหตุถนนทรุดตัว บริเวณหน้าทางเข้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ถนนสามเสน ตามที่เกิดเหตุพื้นถนนทรุดตัว บริเวณหน้าทางเข้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ถนนสามเสน ใกล้เคียงกับจุดก่อสร้างทางขึ้น-ลงที่ 4 สถานีวชิรพยาบาล (PP19) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน – ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 24 กันยายน 2568 นั้น นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้แจ้งให้นางมัลลิกา จิระพันธุ์วานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ ร่วมกับนายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อกำกับดูแลการแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด โดยในเบื้องต้น ผู้ว่าการ รฟม. พร้อมด้วยผู้อำนวยการโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงฯ และทีมงาน ได้สั่งการให้หยุดการก่อสร้างบริเวณพื้นที่เกิดเหตุในทันที เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ พร้อมทั้งปิดกั้นพื้นที่ก่อสร้างบางส่วน และอพยพประชาชนโดยรอบออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย รฟม. ได้ประสานหน่วยงานสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้อง ทั้งการประปานครหลวง การไฟฟ้านครหลวง บริษัทโทรคมนาคม และตำรวจในพื้นที่ เพื่อเร่งแก้ไขสถานการณ์ รวมถึงจัดการจราจรในพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้สัญจร ทั้งนี้ […]

วชิรพยาบาลปิดรับผู้ป่วยนอก 2 วัน เหตุถนนทรุดไม่กระทบอาคาร

24 ก.ย.- คณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล ยันตัวอาคารโรงพยาบาลไม่ได้รับผลกระทบ ขอปิดรับผู้ป่วยนอก 2 วัน รับกังวลการมาทำงานของเจ้าหน้าที่ เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ผศ.นพ.จักราวุธ มณีฤทธิ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล กล่าวถึงกรณีการทรุดตัวลงของพื้นผิวถนนหน้าโรงพยาบาลวิชรพยาบาลว่า ตัวของโรงพยาบาลไม่มีผลกระทบอะไรเลย เพราะด้านหน้ามีกำแพงกั้นดินที่ลึกถึง 60 เมตร และตัวอาคารทีปังกรฯ มีกำแพงอยู่ แต่เพื่อความไม่ประมาทและการจราจรก็มีปัญหาจึงได้หยุดให้บริการตึกผู้ป่วยนอกเป็นเวลา 2 วัน และตึกดังกล่าวไม่ได้มีการอพยพผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยทั้งหมดในตึกนั้นเป็นผู้ป่วยนอกจึงไม่จำเป็นที่จะต้องอพยพ ทั้งนี้ หากมีเหตุจำเป็นและเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินทางโรงพยาบาลยังเปิดให้บริการอยู่ ตอนนี้เราเป็นห่วงในเรื่องของการจราจรส่วนอาคารนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไร ในส่วนของการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยก็ยังสามารถใช้ประตูอื่นบริเวณโดยรอบโรงพยาบาลได้ ส่วนที่เรากังวลคือการเดินทางมาทำงานของเจ้าหน้าที่ภายในโรงพยาบาล. -สำนักข่าวไทย

น้ำท่วมแม่แจ่มยังวิกฤติ

เชียงใหม่ 24 ก.ย.- “อำเภอแม่แจ่ม” น้ำท่วมยังวิกฤติ หลังฝนตกหนักบนดอย เช้านี้ลำน้ำแม่แจ่มเพิ่มระดับสูงขึ้นอีกครั้ง เตือนหมู่บ้านท้ายน้ำเตรียมรับมวลน้ำจากน้ำแม่หยอด-น้ำแม่แจ่ม ที่จะไหลมาสมทบกัน ขอให้อพยพกลุ่มเปราะบางและขนย้ายสิ่งของไว้บนที่สูง ภาพจากกล้องวงจรปิดเวลาตลาดสดเทศบาลแม่แจ่ม เช้านี้ (24 กันยายน 2568) ยังคงมีมวลน้ำจากลำน้ำแม่แจ่มไหลเอ่อเข้าท่วมถนนและในตลาดสดเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ หลังน้ำที่ท่วมเมื่อวานนี้เริ่มลดลง แต่เมื่อช่วงเช้ามืดวันนี้น้ำเพิ่มสูงขึ้น ทำให้น้ำที่ท่วมถนนหน้าที่ว่าการอำเภอแม่แจ่ม และบ้านเรือนของชาวบ้านในตำบลช่างเคิ่ง และตำบลท่าผา บางจุดท่วมสูง 70- 80 เซนติเมตร นายเกรียงศักดิ์ บุญตาปวน นายอำเภอแม่แจ่มให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่าขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมยังหนักอยู่ เนื่องจากมีน้ำจากบนดอยเติมมาตั้งแต่ช่วงตี 5 ของวันนี้ หลังน้ำที่ท่วมเมื่อวานนี้ลดลงในช่วงค่ำ แต่มีมวลน้ำมาเติมอีกระลอก น้ำที่ไหลมาท่วมวันนี้ถือว่าหนักกว่าเมื่อวานเพราะไหลมาจากอำเภอกัลยานิวัฒนา ซึ่งขณะนี้ทางอำเภอยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ได้ว่าน้ำจะเริ่มลดระดับลงเมื่อไหร่ถ้าหากฝนบนดอยยังตกมาเรื่อยๆ โดยน้ำท่วมครั้งนี้มีชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนกว่า 700 หลังคาเรือน กระทบกว่า 3,000 คน โดยมีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักและต้องการความช่วยเหลือด่วน คือตำบลแม่นาจร สะพานไม้ขาด ถนนพัง ขณะนี้ทางผู้นำท้องถิ่นช่วยกันดูแลอยู่ อย่างไรก็ตามในส่วนของอำเภอแม่แจ่มและหน่วยงานส่วนราชการนั้น ระดมกำลังช่วยเหลือชาวบ้านกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุ รวมทั้งได้ตั้งโรงครัวนำอาหารและน้ำดื่มแจกจ่ายให้ผู้ประสบภัย จัดตั้งศูนย์อพยพไว้ที่อำเภอและเทศบาลต่างๆ แต่ขณะนี้ชาวบ้านยังไม่มีการอพยพแต่อย่างใด เนื่องจากยังมีไฟฟ้าใช้ตามปกติและยังมีอาหารเพียงพอ มีเพียงบางส่วนที่ไปอาศัยบ้านญาติอยู่ชั่วคราว ข้อมูลจากสำนักงานป้องกันสาธารณภัยจังหวัดเชียงใหม่รายงานเมื่อวันที่ 23 […]

ถนนทรุดตัวเป็นหลุมกว้างหน้าวชิรพยาบาล แนะเลี่ยงเส้นทาง

24 ก.ย.- ถนนทรุดตัวเป็นหลุมกว้างบริเวณหน้าวชิรพยาบาล จนท.เร่งเคลื่อนย้ายผู้ป่วย-ประชาชนใกล้เคียง ออกนอกพื้นที่เสี่ยง แจ้งเตือนหลีกเลี่ยงเส้นทางอาจเป็นอันตรายต่อผู้สัญจร ช่วงประมาณ 07.13 น. ศูนย์วิทยุพระราม199 รางานเหตุถนนทรุดตัวเป็นบริเวณกว้างใกล้เคียงอาคารของโรงพยาบาลวชิรพยาบาล เจ้าหน้าที่สถานีดับเพลิงและกู้ภัยสามเสน ถึงที่เกิดเหตุ ลักษณะที่เกิดเหตุเป็นถนนทรุดตัวขนาดใหญ่ เป็นหลุมกว้าง 30 x 30 เมตร ลึก 50 เมตร ทรุดตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งบริเวณหน้าโรงพยาบาลและหน้าสถานีตำรวจสามเสน เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและประชาชนใกล้เคียง ออกจากจุดที่เกิดเหตุ ล่าสุดสำนักงานเขตดุสิต แจ้งปิดการจราจรแยกวชิรพยาบาล – แยกซังฮี้ และบริเวณใกล้เคียงโดยรอบ เนื่องจากเหตุผิวจราจรทรุดตัวส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณูปโภคโดยรอบ และอาจเป็นอันตรายต่อผู้สัญจรใกล้เคียงได้ -สำนักข่าวไทย