ครม. เห็นชอบ เติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet

กรุงเทพฯ 23 เม.ย. -ครม.เห็นชอบ เติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet  หวังกระตุ้น GDP ปี 68 ร้อยละ 1.8  มอบหลายหน่วยงานขับเคลื่อนโครงการ  แต่งตั้งคณะอนุกรรมการคุมเข้มทุจริต


นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง  ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า  ที่ประชุม คณะรัฐมนตรี  เห็นชอบ โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet  ตามมติคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet   เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่และช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ ยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือ เช่น กลุ่มเปราะบาง เกษตรกร  ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้  การสร้างและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชน  และสนับสนุนการพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม

 รัฐบาลคาดว่าในปี 2567   GDP ขยายตัวร้อยละ 2.7 ต่อปี  ต่ำกว่า หลายหน่วยงานเคยคาดกาณ์ ไว้ นับว่าต่ำกว่าศักยภาพ และมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับในอดีต   โดย GDP ในไตรมาส 4 ปี 2566 หดตัวร้อยละ 0.6   เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งในและนอกประเทศ เช่น ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ การฟื้นตัวของรายได้ของประชาชนที่ไม่เท่ากันตั้งแต่หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19  หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง และบั่นทอนกำลังซื้อของประชาชนและภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้า โตต่ำ  ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าและบริการอยู่ที่ร้อยละ 69   รัฐบาลจึงต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการฯ เพื่อเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้กระจายตัวไปสู่ท้องถิ่นและชุมชน   มุ่งรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด


รัฐบาลกำหนดกลุ่มเป้าหมาย  สัญชาติไทย ณ เดือนที่มีการลงทะเบียน  อายุตั้งแต่ 16 ปี ขึ้นไป  ไม่เป็นผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี  หรือรายได้ไม่เกิน 70,000 บาทต่อเดือน และมีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท  กำหนดการใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้า  ในพื้นที่ในระดับอำเภอ (878 อำเภอ) การชำระเงินต้องเป็นแบบพบหน้า (Face to Face) กำหนดให้ใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กที่รวมถึงร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก

สำหรับการใช้จ่ายระหว่างร้านค้ากับร้านค้า กำหนดให้ร้านค้าที่จะรับการใช้จ่ายจากประชาชนต้องเป็นร้านค้าขนาดเล็ก รวมถึงร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก  โดยไม่รวมห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก-ค้าส่งขนาดใหญ่ระดับประเทศและระดับท้องถิ่น ส่วนร้านค้าสามารถรับการใช้จ่ายจากร้านค้า ไม่มีการกำหนดเงื่อนไขเชิงพื้นที่และขนาดร้านค้า

 สำหรับการซื้อสินค้าทุกประเภทสามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้ ยกเว้นสินค้าที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้ (Negative List) ซึ่งได้แก่ สลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ กัญชา กระท่อม พืชกระท่อม ผลิตภัณฑ์กัญชาและกระท่อม บัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร พลอย อัญมณี น้ำมันเชื้อเพลิง และก๊าซธรรมชาติ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สามารถพิจารณากำหนด Negative List เพิ่มเติมได้ โดยการใช้จ่ายตามโครงการฯ ไม่รวมถึงบริการ


ด้านคุณสมบัติและเงื่อนไขร้านค้าที่สามารถถอนเงินสดจากโครงการฯ: ต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี ดังนี้ (1) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax: VAT) หรือ (2) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax: PIT) เฉพาะผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร หรือ (3) ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax CIT) ทั้งนี้ ร้านค้าไม่สามารถถอนเงินสดได้ทันทีหลังประชาชนใช้จ่าย แต่ร้านค้าจะสามารถถอนเงินสดได้เมื่อมีการใช้จ่ายตั้งแต่ในรอบที่ 2 เป็นต้นไป  รัฐบาลได้การจัดทำเว็บไซต์ ระบบลงทะเบียนและตรวจสอบคุณสมบัติประชาชนและร้านค้า ระบบการใช้จ่าย ระบบการชำระเงิน ระบบตรวจสอบธุรกรรม โดยพัฒนาให้สามารถใช้จ่ายได้กับธนาคารอื่น ๆ ในลักษณะ Open Loop ด้วย

ในด้านแหล่งเงิน: มีแนวทางเกี่ยวกับแหล่งเงินสำหรับการดำเนินโครงการฯ รวมเป็นเงิน 500,000 ล้านบาท ได้แก่ (1) เงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวนประมาณ 152,700 ล้านบาท (2) การดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ จำนวนประมาณ 172,300 ล้านบาท และ (3) การบริหารจัดการเงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวนประมาณ 175,000 ล้านบาท  ระยะเวลาการดำเนินโครงการ    เริ่มในงบประมาณรายจ่ายปี 2567- 68   ต้องไม่เกินเดือนกันยายน 2569  

 ในด้านป้องกันการทุจริต  มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นเพื่อกำหนดแนวทางและดำเนินการตรวจสอบ พิจารณา และวินิจฉัยเกี่ยวกับการกระทำที่อาจเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการฯ การเรียกเงินคืน รวมถึงการดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่าง ๆ   โดยคณะรัฐมนตรียังได้เห็นชอบการมอบหมายหน่วยงานผู้รับผิดชอบการดำเนินโครงการฯ ตามมติคณะกรรมการนโยบายฯ ในเรื่องต่าง ๆ อาทิ (1) กระทรวงพาณิชย์ รับผิดชอบกำหนดประเภทสินค้าที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการ (Negative List) เงื่อนไขเกี่ยวกับร้านค้าและวิธีการสมัครเข้าร่วมโครงการฯ (2) สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกันพัฒนาและดำเนินการระบบสำหรับโครงการฯ ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการ ซึ่งรวมถึงการจัดทำเว็บไซต์ ระบบลงทะเบียนและตรวจสอบคุณสมบัติประชาชนและร้านค้า ระบบการใช้จ่าย ระบบการชำระเงิน ระบบตรวจสอบธุรกรรม และอื่น ๆ (3) คณะอนุกรรมการด้านการตรวจสอบการกระทำที่อาจเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ ซึ่งมีรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ได้รับมอบหมายเป็นประธานอนุกรรมการ  รับผิดชอบการตรวจสอบ วินิจฉัย การเรียกเงินคืน ร้องทุกข์ กล่าวโทษ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการฯ

นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายฯ จะมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet (คณะอนุกรรมการกำกับโครงการฯ) เพื่อกำหนดรายละเอียดการดำเนินโครงการฯ ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการฯ ที่ไม่ขัดต่อกรอบหลักการต่าง ๆ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ และสอดคล้องกับระเบียบ กฎเกณฑ์ และกฎหมาย โดยประสานการดำเนินงานของหน่วยงานผู้รับผิดชอบการดำเนินโครงการฯ ในส่วนต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์  อมรวิวัฒน์) เป็นประธานอนุกรรมการ และมีผู้แทนกรมการค้าภายใน ผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และผู้แทนสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เป็นเลขานุการร่วม

ครม. ยังเห็นชอบมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแหล่งเงินในการดำเนินโครงการฯ   การเห็นชอบมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับโครงการฯ  จัดตั้งขึ้น ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนรับทราบรายละเอียดโครงการฯ การลงทะเบียนโครงการฯ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ ทั้งนี้ หากหน่วยงานใดมีประเด็นข้อสงสัยเกี่ยวกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องสามารถหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อให้มีความชัดเจนก่อนดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

 กระทรวงการคลังในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายฯ จะได้นำเสนอมติคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการต่อคณะกรรมการนโยบายฯ เพื่อให้สามารถผลักดันการดำเนินโครงการฯ ต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คณะอนุกรรมการกำกับโครงการฯ ซึ่งมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์  อมรวิวัฒน์) เป็นประธาน จะได้เร่งพิจารณากำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการดำเนินโครงการฯ ที่จำเป็นเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถพัฒนาระบบงานต่าง ๆ ในโครงการฯ ให้เป็นรูปธรรมได้ต่อไป เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายฯ มีนโยบายที่จะให้ประชาชนและร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 และเริ่มใช้จ่ายภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567.-515 สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ไทย-กัมพูชา ลงนามบันทึกการประชุม JBC ร่วมกัน

กัมพูชา 15 มิ.ย.- ไทย-กัมพูชา ลงนามบันทึกการประชุม JBC ร่วมกัน ซึ่งการหารือเป็นไปอย่างราบรื่นและฉันมิตร เป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงความคืบหน้าในการจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ประชุมครั้งต่อไปเดือน ก.ย.นี้ ฝ่ายไทยเป็นเจ้าภาพ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 เอกอัครราชทูตประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ฝ่ายไทย และนายฬำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบกิจการชายแดนและหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา ประธานร่วมฝ่ายกัมพูชา เป็นประธานร่วมในพิธีปิดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 (JBC) และลงนามบันทึกการประชุมร่วมกัน ที่กรุงพนมเปญ การหารือเป็นไปอย่างราบรื่นและฉันมิตร ทั้งสองฝ่ายกล่าวขอบคุณที่การประชุมสำเร็จลุล่วงด้วยดี โดยเน้นย้ำความสำคัญและประสิทธิภาพของ JBC ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีหลักในการเจรจาเขตแดนระหว่างสองประเทศ การประชุมครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงความคืบหน้าในการจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งมีความยาวทั้งหมดประมาณ 800 กิโลเมตร และมีส่วนช่วยลดความตึงเครียดบริเวณชายแดน ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายยังมีภารกิจที่ต้องหารือและดำเนินการร่วมกันต่อไป โดยฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JBC สมัยพิเศษครั้งต่อไปในเดือนกันยายนนี้ ปัจจุบัน ไทยกับกัมพูชามีกลไกความร่วมมือในประเด็นชายแดนร่วมกัน 3 ระดับหลัก ได้แก่ (1) JBC ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีที่สำคัญในการหารือกันทางเทคนิคและข้อกฎหมายระหว่างประเทศ (2) คณะกรรมการชายแดนทั่วไป […]

กัมพูชายืนยันไม่รับแผนที่ 1 : 50,000

15 มิ.ย. – กัมพูชาแถลงปฏิเสธแผนที่ 1 ต่อ 50,000 อย่างเด็ดขาด อ้างไทยเขียนขึ้นฝ่ายเดียว ยึดมั่นแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ตาม MOU43 เท่านั้น พร้อมยินดีร่วมมือกับไทยด้วยกลไกทวิภาคี ยกเว้น 4 จุดที่นำขึ้นศาลโลก เว็บไซต์ข่าว Khmer Times รายงานภายหลังเสร็จการประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วม หรือ JBC ที่กรุงพนมเปญ ว่า ฝ่ายกัมพูชาแสดงจุดยืนปฏิเสธอย่างหนักแน่นที่จะรับรองแผนที่ที่ฝ่ายไทยร่างขึ้นโดยฝ่ายเดียวและนำใช้อ้างอิงอันเป็นที่มาหลักของปัญหาข้อพิพาทชายแดนที่เรื้อรังมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต ทั้งนี้ แผนที่ที่กัมพูชาอ้างว่าฝ่ายไทยร่างขึ้นโดยฝ่ายเดียวและนำไปสู่ปัญหาข้อพิพาทเขตแดนไม่สิ้นสุดนั้นคือแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 50,000 ซึ่งมีความละเอียดแม่นยำมากกว่าแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่กัมพูชายึดถือ Khmer Times อ้างตามเอกสารข่าวเผยแพร่จากสำนักเลขาธิการกิจการชายแดนเกี่ยวกับการประชุม JBC ที่จัดขึ้นระหว่างฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายไทย ฝ่ายกัมพูชานำโดยนายฬำ เจีย รัฐมนตรีประจำสำนักกิจการชายแดนและประธาน JBC ฝ่ายกัมพูชา และนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศของไทย และประธาน JBC ฝ่ายไทย […]

“ลูกหมี” ชนะคดีฟ้องอดีตดารา ศาลสั่งลูกหนี้ชดใช้หนี้พร้อมดอกเบี้ย

สำนักงานกฎหมายทนายคลายทุกข์ 13 มิ.ย. – “ลูกหมี รัศมี” ชนะคดีฟ้องอดีตดารา ศาลสั่งลูกหนี้ชดใช้ 2 ล้านบาท รวมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ด้าน “ทนายเดชา” เผยหาก 30 วัน ไม่ใช้หนี้ เตรียมยื่นเรื่องยึดทรัพย์-ฟ้องล้มละลาย นางสาวรัศมี ทองสิริไพรศรี หรือลูกหมี นางแบบชื่อดัง พร้อมนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา และนางสาวอำนวยพร มณีวรรณ์ หรือทนายกุ้ง ตั้งโต๊ะแถลงข่าวกรณีลูกหนี้ ซึ่งเป็นอดีตดารานักแสดงชื่อดัง ได้ทำการกู้ยืมเงิน พร้อมจ่ายเช็คเด้ง จำนวน 2 ล้านบาท โดยไม่ยอมชำระคืนตามที่ได้ตกลงทำสัญญากันไว้ ทนายเดชา กล่าวว่า คดีนี้คุณลูกหมีฟ้องลูกหนี้ในความผิดเกี่ยวกับเรื่องสัญญากู้ยืมเงิน โดยเงินต้นจำนวน 2 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ศาลพิพากษาว่า สัญญากู้เงินต้น 2 ล้านบาท เป็นสัญญาที่ชอบด้วยกฎหมาย ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด […]

อิสราเอลและอิหร่านโจมตีตอบโต้กันในระลอกใหม่

เทลอาวีฟ 15 มิ.ย. – อิสราเอลและอิหร่านได้เปิดฉากโจมตีตอบโต้กันอีกครั้งในช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน ซึ่งจุดชนวนความกังวลว่าจะเกิดความขัดแย้งในวงกว้างขึ้น หลังจากที่อิสราเอลได้ขยายการโจมตีอิหร่าน ด้วยการโจมตีแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก อิหร่านได้ยกเลิกการเจรจานิวเคลียร์ที่สหรัฐเคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่าเป็นหนทางเดียวที่จะหยุดยั้งการทิ้งระเบิดของอิสราเอลได้ ขณะที่นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอลกล่าวว่าการโจมตีที่เกิดขึ้นจนถึงขณะนี้ยังถือว่าไม่มีอะไรที่จะเทียบเคียงกับสิ่งที่อิหร่านจะได้เห็นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า การโจมตีของอิหร่านล่าสุดเริ่มต้นขึ้นไม่นานหลังเวลา 23:00 น. ของวันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่น หรือ ตรงกัล 03.00 น.ตามเวลาในประเทศไทย เมื่อเสียงสัญญาณเตือนภัยทางอากาศดังขึ้นในนครเยรูซาเลมและเมืองไฮฟา ทำให้ผู้คนราวหนึ่งล้านคนต้องรีบเข้าไปในสถานที่หลบภัย หน่วยบริการพยาบาลกล่าวว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 คนตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ซึ่งมีเด็กวัย 10 ขวบและหญิงสาววัยราว ๆ  20 ปีรวมอยู่ด้วย และมีผู้บาดเจ็บกว่า 140 คนจากการโจมตีที่เกิดขึ้นหลายครั้ง สื่ออิสราเอลรายงานว่ามีผู้สูญหายอย่างน้อย 35 คน หลังจากที่ขีปนาวุธพุ่งเป้าไปที่เมืองบัตยัม ซึ่งเป็นเมืองทางใต้ของกรุงเทลอาวีฟ โฆษกหน่วยบริการฉุกเฉินกล่าวว่าขีปนาวุธลูกหนึ่งพุ่งชนอาคาร 8 ชั้นในเมืองนั้น และในขณะที่ผู้คนจำนวนมากได้รับการช่วยเหลือ แต่ก็มีผู้เสียชีวิตด้วยเช่นกัน ขณะนี้่ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่ามีอาคารกี่หลังที่ถูกโจมตีเมื่อคืนนี้ จนถึงขณะนี้ยอดผู้เสียชีวิตในอิสราเอลล่าสุดอยู่ที่อย่างน้อย 9 ราย และบาดเจ็บกว่า 300 ราย นับตั้งแต่อิหร่านเปิดฉากโจมตีตอบโต้อิสราเอลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

สื่อเกาะติด! นายกฯ เข้าบ้านพิษณุโลก ถกผลประชุม JBC

บ้านพิษณุโลก 16 มิ.ย.- นายกฯ เข้าบ้านพิษณุโลก เรียกถกหน่วยงานความมั่นคง หารือผลประชุม JBC กำหนดแนวทางแก้ปัญหาข้อพิพาทพื้นที่ชายแดน ท่ามกลางสื่อมวลชนเกาะติดสถานการณ์ใกล้ชิด ความเคลื่อนไหวของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เช้าวันนี้ (16 มิ.ย.) ได้แจ้งเลื่อนภารกิจการให้ นางสาวสุชาตา ช่วงศรี Miss World 2025 และคณะ Miss World เข้าคาราวะ ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ในเวลา 10.00 น. ไปเป็นวันพรุ่งนี้ (17 มิ.ย. 68) โดยนายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมด่วนหน่วยงานด้านความมั่นคง ถึงกรณีผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 หรือ The Sixth Meeting of The Cambodian-Thai Joint Commission on Demarcation for […]

‘รองแม่ทัพภาค 2’ โพสต์ 5 หมายเหตุ สะท้อนปมชายแดน

16 มิ.ย.- ‘รองแม่ทัพภาค 2’ โพสต์หมายเหตุ 5 ข้อ สะท้อนปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเจรจา JBC พร้อมตั้งคำถาม “คุยกันดีๆ แล้วทำไมต้องฟ้องศาลโลก?” พลตรี ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 โพสต์หมายเหตุ 5 ประเด็น สะท้อนปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา

กต.แถลงผิดหวังกัมพูชาไม่ร่วมมือไทย ขาดความตั้งใจแก้ปัญหา

กรุงเทพฯ 16 มิ.ย. – กต.แถลงผิดหวังกัมพูชาไม่ร่วมมือไทย แก้ปัญหาลดความตึงเครียด ขาดความตั้งใจจริงในการใช้กลไกทวิภาคี บนพื้นฐานเพื่อนบ้านที่ดี พร้อมโต้ทุกประเด็นที่ถูกกล่าวหา เมื่อ 22.30 น. กระทรวงการต่างประเทศของไทย ออกแถลงการณ์ผลการประชุม JBC ทั้งที่เดิมนัดสื่อเเถลงวันนี้ (16 มิ.ย.) ระบุว่าการหารือมีความคืบหน้าสำคัญ 4 เรื่อง ซึ่งหลักๆ ทั้ง 4 เรื่องในคำเเถลงออกมาตรงกัน ซึ่งการรับรองผลการประชุม JTSC ครั้งที่ 4 สองฝ่ายเห็นตรงกันต่อตำแหน่งที่ตั้งของหลักเขตถึง 45 หลัก และเห็นชอบให้นำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการจัดทำภาพถ่ายทางอากาศเพื่อความรวดเร็วในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ซึ่งในการเห็นชอบให้เเก้ไขแผนแม่บทว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทยกับกัมพูชา จัดทำขึ้นเมื่อปี 2546 (TOR 2003) ก็นำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศเช่นกัน ส่วนในข้อ 4 เห็นชอบให้มีการจัดทำข้อกำหนดทางเทคนิคการเดินสำรวจในพื้นที่ตอนที่ 6 ไทยลงรายละเอียดว่า เป็นพื้นที่จากเขาสัตตะโสม จนถึงหลักเขตแดนที่ 1 ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมอบหมาย JTSC […]

อุตุฯ เผยไทยตอนบนฝนตกหนักบางแห่ง-กทม.ฟ้าคะนอง 40%

กรุงเทพฯ 16 มิ.ย. – กรมอุตุฯ เผยไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนตกหนัก กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง 40% กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ส่วนเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย เดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส .-สำนักข่าวไทย