กรุงเทพฯ 15 พ.ย.-โรงงานน้ําตาลยืนยันผลิตน้ำตาลทรายตามปกติ ไม่มีการลดกําลังการผลิตหรือหยุดผลิต และยังจําหน่ายน้ําตาล ผ่านช่องทางต่าง ๆ ในสัดส่วนของแต่ละโรงงานตามปกติ อีกทั้งโรงงานยังมีน้ําตาลในสต๊อคสํารองไว้อีก 1 เดือน และในต้นเดือนธันวาคมนี้จะเข้าสู่การเปิดหีบอ้อยก็จะทําให้มีน้ําตาลเข้ามาในระบบตามปกติ แต่อย่างไรก็ตาม จําเป็นต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาบริหารจัดอย่างเป็นระบบ และขอให้ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ว่าน้ําตาล ในประเทศมีเพียงพออย่างแน่นอน (ไม่ต้องตื่นตระหนก ไม่จําเป็นต้องกักตุน)
การปรับขึ้นราคาน้ําตาล 2 บาทต่อกิโลกรัม จึงเป็นการปรับขึ้นตามโครงสร้างต้นทุนการผลิตที่เพิ่ม สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของเกษตรกรซึ่งอยู่ที่ 12,000-13,000 บาท/ไร่ นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกร ด้านต้นทุนการผลิตแล้วรายได้จากการขายน้ําตาลทุกตันจะถูกนํามาคํานวณเป็นราคารับซื้ออ้อยให้เกษตรกร ในแต่ละปี (70:30) ซึ่งจะเป็นปัจจัยด้านโครงสร้างที่สําคัญต่ออุตสาหกรรมอ้อยและน้ําตาลทรายไทย ซึ่งจะ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอาชีพเกษตรกรชาวไร่อ้อยให้สามารถแข่งขันกับพืชเศรษกิจอื่นใน ระยะยาวได้
การขึ้นราคาน้ําตาล 2 บาท ส่งผลทําให้มีราคาจําหน่าย ณ หน้าโรงงานอยู่ที่ 21-22 บาท และราคา ปลีกอยู่ที่ 26-27 บาท ซึ่งยังต่ํากว่าราคาส่งออกและต่ํากว่าราคาจําหน่ายในประเทศเพื่อนบ้านอยู่มาก
อุตสาหกรรมอ้อยและน้ําตาลทราย สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยปีละประมาณ 200,000 ล้านบาท สร้างงานสร้างอาชีพให้กับเกษตรกรและประชาชนที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมกว่า 2 ล้านคน โดยประเทศไทยเคยมีผลผลิตอ้อยมากที่สุดถึงกว่า 120 ล้านตัน ในปีพ.ศ. 2563
ย้อนกลับไปในอดีต ราคาน้ําตาลในประเทศไทย ณ หน้าโรงงานไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม กําหนดอยู่ที่ 15 บาทต่อกิโลกรัมมาเป็นระยะเวลานาน จนกระทั่งในปีพ.ศ.2551 ได้มีการประกาศขึ้นราคาเป็น 20 บาทต่อกิโลกรัม ต่อมาเมื่อประเทศไทยยกเลิกระบบโควต้าในปีพ.ศ.2561 และปล่อยให้ราคาน้ําตาลทรายเป็นไปตามกลไกตลาดโลก ราคาน้ําตาลในประเทศไทยได้ลดลงไปเหลือเพียง 15-16 บาทกิโลกรัม ในปีพ.ศ.2563 ประเทศไทยมี การกําหนดราคาจําหน่ายน้ําตาลโดยอ้างอิงตามต้นทุนการผลิตอ้อยและน้ําตาลทราย (Cost Plus) ราคาน้ําตาลจึง ประกาศอยู่ที่ 18.25 บาทต่อกิโลกรัม และปีพ.ศ.2566 ราคาน้ําตาลได้ปรับเป็น 20 บาทต่อกิโลกรัม
จะเห็นได้ว่า ตลอดระยะเวลากว่า 15 ปี ราคาน้ําตาลในประเทศ ณ หน้าโรงงาน ไม่เคยได้ปรับขึ้นมากกว่า 20 บาทต่อกิโลกรัม แต่ยังต้องลดลงในบางช่วงเวลาเมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นกว่า 3 เท่า เช่น ปัจจัยการ ผลิต (ค่าปุ๋ย สารกําจัดวัชพืช) ค่าแรงงาน ค่าน้ํามัน รวมถึงต้นทุนการทําเกษตรที่ควบคู่กับการดูแล สิ่งแวดล้อม (ตัดอ้อยสด) ซึ่งเป็นแนวทางการดําเนินงานท่ีท่ัวโลกและหน่วยงานหลายภาคส่วนให้ความสําคัญ และกําหนดเป็นนโยบาย
อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยสถานการณ์ภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรโดยตรง รวมถึงอุตสาหกรรมอ้อย และน้ําตาลมีผลผลิตลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในปีการผลิต 2565/2566 ประเทศไทยมีผลผลิตอ้อยประมาณ 93 ล้านตัน และคาดการณ์ปีการผลิต 2566/2567 จะมีอ้อยเข้าหีบไม่ถึง 75 ล้านตัน ยิ่งทําให้ต้นทุนการปลูกอ้อย ต่อไร่เพ่ิมสูงขึ้นเกษตรกรชาวไร่อ้อยต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายมาเป็นเวลานานและได้รับผลกระทบเป็นอย่าง มาก ซึ่งจะส่งผลให้พืชอ้อยไม่สามารถแข่งขันกับพืชเศรษฐกิจอื่นได้ ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ภัยแล้งดังกล่าว ส่งผลให้ปริมาณน้ําตาลในตลาดโลกลดลง จึงทําให้ราคาส่งออกน้ําตาลทรายขาวและน้ําตาลทรายขาวบริสุทธิ์ เพิ่มสูงขึ้นเป็น 27 บาท และ 28 บาทต่อกิโลกรัมตามลําดับ ซึ่งสูงกว่าราคาจําหน่าย ณ หน้าโรงงาน ทั้งน้ําตาล ทรายขาวและน้ําตาลทรายขาวบริสุทธิ์ซึ่งอยู่ที่ 21 บาท และ 22 บาทต่อกิโลกรัม ตามมติ ครม. วันที่ 14 พฤศจิกายน 2566.-สำนักข่าวไทย