กรุงเทพฯ 26 เม.ย.- MGC เปิดเทรดวันแรกใน SET ที่ 8.45 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท จากราคา IPO ที่ 7.95 บาท หรือเพิ่มขึ้น 6.29%
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลท. และ นายสัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) ร่วมพิธีจดทะเบียนและเปิดการซื้อขายหลักทรัพย์วันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ บมจ. มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดยานยนต์ ในวันนี้ (26 เม.ย.) โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “MGC” เปิดเทรดวันแรกที่ราคา 8.45 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท จากราคา IPO ที่ 7.95 บาท หรือเพิ่มขึ้น 6.29% โดยราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 14.72 เท่า จำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) 280 ล้านหุ้นและมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณราคา IPO 8,904 ล้านบาท
MGC ดำเนินธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์ครบวงจรประกอบด้วยการจัดจำหน่ายยานยนต์ รถยนต์ BMW MINI Honda Rolls-Royce, รถจักรยานยนต์ BMW Motorrad Harley-Davidson, เรือยอชท์ Azimut และเรือแม่น้ำ Chris Craft โดยกลุ่มบริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ BMW MINI อันดับ 1 และ Honda เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจบริการหลังการขาย ศูนย์บริการยานยนต์แต่ละยี่ห้อและศูนย์ซ่อมบำรุงรถยนต์อิสระ ภายใต้ชื่อ Master Motor Services (“MMS”) และบริการให้เช่ารถยนต์และคนขับ ภายใต้ชื่อ Master Car Rental และ Master Driver & Services รวมถึงจัดหาลูกค้าให้แก่VistaJet ซึ่งเป็นธุรกิจให้เช่าเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว
นายสัณหวุฒิ กล่าวว่า กลุ่มบริษัทฯ วางแผนขยายระบบนิเวศทางธุรกิจให้ครอบคลุมทุกวงจรการใช้บริการของลูกค้าผ่านการขยายฐานสินค้าและบริการ เพื่อยกระดับการดำเนินธุรกิจอย่างครบวงจรภายใต้ MGR-ASIA Ecosystem มุ่งสู่การเป็นผู้นำจำหน่ายและให้บริการด้านยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ บนแพลตฟอร์มออนไลน์และอ๊อฟไลน์เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยังยืน โดยรายได้รวม ปี 2563, 2564 และ 2565 อยู่ที่ 20,275.3 ล้านบาท, 21,350.3 ล้านบาท และ 23,076.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ ปี 2563, 2564 และ 2565 อยู่ที่ 188.8 ล้านบาท 295.5 ล้านบาท และ 595.6 ล้านบาท ตามลำดับ โดยปี 2565 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด 101.6% จากการเพิ่มของรายได้การขายและบริการการเพิ่มของอัตรากำไรขั้นต้น ขณะที่สัดส่วนต้นทุนการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อนำไปลงทุนในบริษัท มาสเตอร์ มอเตอร์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท อัลฟ่า เอกซ์ จำกัด ซึ่งร่วมทุนกับบริษัท เอสซีบีเอกซ์ จำกัด (มหาชน) , รวมถึงชำระเงินกู้จากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของกลุ่มบริษัทเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต .-สำนักข่าวไทย