กรุงเทพฯ 10 มี.ค.-กกพ. เปิดรับฟังความเห็นค่าเอฟที งวด พ.ค. – ส.ค. 663 แนวทางจ่ายคืนภาระต้นทุนค่าไฟแก่กฟผ. สูงสุด 6.72 ต่ำสุด 4.77 บาท
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่าจากแนวโน้มสถานการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติเหลวในตลาดจร (Spot LNG) มีแนวโน้มลดลง ปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้น และอัตราแลกเปลี่ยนที่แกว่งตัวในระดับต่ำ ประกอบกับภาคนโยบาย(กพช.) ไม่มีนโยบายขยายเวลาการจัดสรรก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยให้ประชาชนก่อน ส่งผลให้ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมและประชาชนต้องจ่ายค่าเอฟในตราเดียวกันที่สะท้อนสมมุติฐานที่ทำให้ ค่าใช้จ่ายประมาณการเอฟทีในรอบ พ.ค. – ส.ค. 2566 อยู่ในระดับที่ดี ดังนั้น กกพ. จึงเสนอรับฟัง
ทั้งนี้ ความเห็น 3 ทางเลือกในการจ่ายคืนภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง (คงค้าง) กฟผ. ดังนี้
กรณีที่ 1 (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างทั้งหมดใน 1 งวด) ค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือน พ.ค. -ส.ค.2566 จำนวน 293.60 สตางค์ต่อหน่วย แบ่งเป็นเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือน พ.ค.-ส.ค.2566 จำนวน63.37 สตางค์ต่อหน่วย และเงินเรียกเก็บเพื่อชดเชยตันทุนที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. ทั้งหมด (เดือน ก.ย. 2564 – ธ.ค. 2565 จำนวน 150,268 ล้านบาท ) คิดเป็น 230.23 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6.72 บาทต่อหน่วย
กรณีที่2 (จ้ายคืนภาระต้นทุนคงค้างใน 5 งวด) ค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 2566
จำนวน 105.25 สตางค์ต่อหน่วย แบ่งเป็นเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือน พ.ค.-ส.ค.
จำนวน 63.37 สตางค์ต่อหน่วย และเงินทยอยเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงที่คาดว่าจะคงเหลือจาก
เดือน ม.ค. – เม.ย. 2566 จำนวน 136,686 ล้านบาท บางส่วน (เงินภาระต้นทุนคงค้างสะสมเดือน ก.ย. – ธ.ค.2565 หักภาระต้นทุนคงค้างที่ กกพ. เห็นชอบให้ทยอยเรียกเก็บบางส่วนเดือน ม.ค. – เม.ย. 2566 จำนวน 22.22 สตางค์ต่อหน่วย เป็นเงินประมาณ 13,584 ล้านบาท) โดยแบ่งเป็น 5 งวดๆละ 27,337 ล้านบาทหรืองวดละ 41.88 สตางค์ต่อหน่วยเพื่อให้ กฟผ. ได้รับเงินคืนครบภายในเดือน ธ.ค. 2567 โดย กฟผ. จะต้องบริหารภาระตันทุนที่เกิดขึ้นจริงแทนประชาชนจำนวน 109,349 ล้านบาท ทำให้ค่ไฟฟ้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.84 บาทต่อหน่วย ตามข้อเสนอของ กฟผ.
กรณีที่ 3 (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างใน 6 งวด) ค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือน พ.ค. – ส.ค. 2566
98.27 สตางค์ต่อหน่วย แบ่งเป็นเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือน พ.ค.จำนวน 63.37 สตางค์ต่อหน่วย และเงินทยอยเรียกเก็บเพื่อชดเชยตันทุนทีเกิดขึ้นจริงค่าดว่าจะคงเหลือจากเดือน2566 จำนวน 136,686 ล้านบาท บางส่วน โดยแบ่งเป็น 6 งวดๆ ละ 22,781 ล้านบาท หรืองวดละ 34.90 สตางค์ต่อหน่วยเพื่อให้ กฟผ. ได้รับเงินคืนครบภายใน 2 ปี (เม.ย. 2568) โดย กฟผ. จะต้องบริหารภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงแทนประชาชนจำนวน 113,905 ล้านบาท ทำให้ค่าไฟฟ้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม
เป็น 4.77 บาทต่อหน่วย
นายคมกฤช กล่าวว่า การประมาณการค่าไฟฟ้าดังกล่าว เป็นไปตามประกาศ กกพ. เรื่องกระบวนการและขั้นตอนการใช้สูตรการประบอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ โดยมีสมมุติฐานและปัจจัยพิจารณาค่าเอฟทีในรอบเดือน พ.ค.-ส.ค. ตามการประมาณการราคาก๊าซจากปตท. และผลการคำนวณค่าเอฟทีจากกฟผ. โดยมีปัจจัยดังนี้
1.การจัดหาพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. 2566 เท่ากับประมาณ 72,220 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 4,387 ล้านหน่วยจากประมาณการงวดก่อนหน้า
2.สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. 2566 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักร้อยละ 57.80 ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด และประมาณการการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ6.75 จากรอบเดือน ม.ค. – เม.ย. 2566 เพื่อรองรับการใช้ LNG เพิ่มมากขึ้นจากแนวโน้มราคา LNG ในตลาดโลกที่มีราคาลด เพื่อทดแทนการใช้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาในการผลิตไฟฟ้าในช่วงวิกฤตราคา LNG
3. ราคาเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณค่าเอฟทีเดือน พ.ค. – ส.ค. 2566 โดยราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้ามีการปรับตัวลดลงอย่างมากโดยเฉพาะราคา LNG ในตลาดจร ที่ลดลงจาก 29.6 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียูเป็น 19-20 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ในขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาปรับตัวลดลงเล็กน้อยในรอบเดือน พ.ค. – ส.ค. 2566
4. อัตราแลกเปลี่ยน เท่ากับ 33.23 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งแข็งค่าขึ้นจากประมาณการ
ในการพิจารณาค่าเอฟทีในงวดเดือน พ.ค. – ส.ค. 2566 เป็นการประมาณการค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นโดยอ้างอิงจากข้อมูลจริงเฉลี่ยในเดือน มกราคม 2566 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลกอยู่ในช่วงขาลงปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยทยอยเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น กกพ. จึงเปิดรับฟังความเห็นการทยอยคืนภาระค่าต้นทุนคงค้างให้กับ กฟผ. โดยยังคงสามารถรักษาระดับค่าไฟฟ้าในอัตราที่เหมาะสมเพื่อให้ กฟผ. มีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีขึ้นพร้อมรองรับสถานการณ์พลังงานโลกและอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังคงมีความผันผวนอย่างรุนแรง จากสถานการณ์รัสเซียยูเครน จากสถานการณ์การกดดันจากประเทศมหาอำนาจในด้านต่างๆ บนเวทีโลก และจากความต้องการพลังงานที่จะเพิ่มมากขึ้นในช่วงปลายปี
“ทางเลือกที่ 2และ3 เป็นไปได้สูงสุด แต่สำนักงาน กกพ.ไม่ได้ปิดกัั้น ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถเสนอความเห็นเพิ่มเติมเข้ามาได้ ยอมรับแนวทางที่ 1และ2 ค่าไฟฟ้าสูงกว่าปัจจุบัน และอาจจะไม่มีใครเลือก ส่วนแนวทางที่3 ค่าไฟฟ้า 4.77 บาทต่อหน่วยซึ่งใกล้เคียงกับปัจจุบันที่สุด ทั้ง 3 แนวทางเป็นการเสนอของบอร์ดกพช. และกฟผ. ขณะที่ กพช.เสนอค่าไฟงวดใหม่ไม่เกิน 4.72 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นราคาต่ำกว่าทั้ง 3 ทางเลือกนั้น หากผู้ใช้ไฟฟ้าไม่ต้องการเลือกทั้ง 3 แนวทาง หรือต้องการจ่ายค่าไฟฟ้าราคาปัจจุบัน ซึ่งจะเป็นการจ่ายคืนให้กับกฟผ.ใน7 งวด ก็สามารถเสนอเข้ามาได้พร้อมบอกเหตุผล ซึ่ง สำนักงาน กกพ.พร้อมรับฟังจะรวบรวมข้อเสนอทั้งหมดไปเสนอบอร์ด กกพ. “นายคมกฤชกล่าว
ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ. จะดำเนินการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟทีสำหรับการเรียกเก็บในรอบเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2566 ทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 10 – 20 มีนาคม ก่อนที่จะมีการสรุป และเสนอบอร์ด ในวันที่22 มี.ค. 2566 .-สำนักข่าวไทย